HoonSmart.com>> สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดผลสำรวจความคิดเห็น “ผู้ลงทุนสถาบันไทย” มีมุมมอง “ปานกลางค่อนไปทางบวก” ต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกและไทยปี 68 คาดกนง.ลดดอกเบี้ยแตะ 1.75% ปีหน้า ให้น้ำหนักลงทุน “ตราสารหนี้” ส่วน “หุ้นไทย” ชอบหุ้นขนาดปานกลางถึงใหญ่ ชูธงการลงทุนแนวทางยั่งยืน (ESG Investing) แนวทางหลักการสร้างผลตอบแทนดีในระยาว ส่วนลงทุนต่างประเทศ มอง “กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว” น่าสนใจ ยกหุ้นสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมัน อินเดียเด่น
นางชวินดา หาญรัตนกูล ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของสมาชิกบริษัทจัดการลงทุนในช่วงกลางเดือนธ.ค.ที่ผ่านมาต่อมุมมองการลงทุนในระยะเวลาหนึ่งปีข้างหน้า (ปี 2568) ว่า ทีมผู้จัดการกองทุนไทยเกือบทั้งหมดมีมุมมอง “ปานกลาง” ค่อนไปทาง “บวก” ต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป โดยการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศและทิศทางของอัตราดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญ และคาดการณ์ว่ากนง.จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้าเพื่อช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตได้ดีขึ้น โดยจะปรับลดลงเล็กน้อยมาอยู่ ณ ระดับ 1.75% ณ สิ้นปี 2568 และอาจมีการปรับลดลงเล็กน้อยต่อเนื่องจนอยู่ที่ระดับ 1.5% ณ สิ้นปี 2569 ซึ่งเป็นไปเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจในภาพรวมให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ ในขณะที่เสถียรภาพทางการเมืองจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
สำหรับการจัดน้ำหนักการลงทุนในประเทศ (Asset Allocation) ผู้จัดการกองทุนมีมุมมองเป็นกลาง (Neutral) เน้นให้น้ำหนักการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้เป็นสำคัญโดยเฉพาะตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนระยะปานกลางถึงยาว ส่วนการลงทุนในตราสารทุนจะให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นขนาดปานกลางถึงใหญ่ (Medium to Large Cap) เป็นหลัก โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านความยั่งยืน (ESG Investing) ซึ่งเชื่อว่าในระยะยาวจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนแบบทั่วไปได้เล็กน้อยโดยเปรียบเทียบ
กลุ่มอุตสาหกรรมในดวงใจ คือ กลุ่มการค้าพาณิชย์ กลุ่มท่องเที่ยวสันทนาการ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มสถาบันการเงินตามลำดับ ด้านการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกมีมุมมองเป็นกลาง โดยเน้นการลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานเป็นสำคัญ โดยมีทองคำบ้างเล็กน้อย
สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกในระยะ 1 ปีข้างหน้านั้น ส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะทรงตัวและจะฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปซึ่งถือเป็นมุมมองในเชิงบวกกว่าการสำรวจครั้งก่อน โดยอัตราดอกเบี้ยที่มีทิศทางลดลงและการเติบโตของ GDP ประเทศเศรษฐกิจหลัก จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุน แต่ยังคงมีความกังวลต่อเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาอยู่บ้าง โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศสหรัฐอเมริกา (Fed Fund Rate) นั้น คาดว่าจะสามารถทยอยลดระดับลงได้ต่อเนื่องจนอยู่ที่ระดับ 3.5%-3.75% ณ สิ้นปี 2568
สำหรับการจัดน้ำหนักการลงทุนทั่วโลก กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) ได้รับความสนใจกว่า (Overweight) กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ตราสารทุนมีความน่าสนใจกว่าสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) ถึงปานกลางของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว นำโดยสหรัฐอเมริกา ยุโรป (โดยเฉพาะอังกฤษและเยอรมัน) รวมถึงอินเดีย
กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจสูง ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มบริการสื่อสาร กลุ่มอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มสาธารณูปโภค ในส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ มีมุมมองเป็นกลางให้ความสนใจในตราสารหนี้ระยะปานกลางของสหรัฐอเมริกาและยุโรปมากกว่าตราสารหนี้ประเทศตลาดเกิดใหม่ สำหรับสินทรัพย์ทางเลือกยังคงมีน้ำหนักเป็นกลางโดย REITs และ Infrastructure Funds ได้รับความสนใจมากสุด ขณะที่ทองคำและน้ำมันได้รับความสนใจอยู่บ้าง
นอกจากนั้น ในการสำรวจรูปแบบการลงทุนที่ผู้จัดการกองทุนให้ความสนใจในปี 2568 ทีมผู้จัดการกองทุนยังคงให้ความสำคัญต่อการลงทุนในรูปแบบความยั่งยืน (ESG Investing) เป็นสำคัญ โดยมีความสนใจที่จะออกกองทุน ThaiESG ใหม่ๆในรูปแบบผสมผสาน (Mixed Fund) เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนแบบยั่งยืนและได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่วนการลงทุนในหุ้นยั่งยืนนั้นกลุ่มอุตสาหกรรมในดวงใจมีความใกล้เคียงกับการจัดสรรการลงทุนในหุ้นไทยทั่วไปดังที่กล่าวมา และผู้จัดการกองทุนยังคาดหวังที่จะออกกองทุนที่เน้นลงทุนเพื่อสร้างความยั่งยืนในต่างประเทศรูปแบบ Feeder Fund – ESG FIF เพื่อนำเสนอให้แก่ผู้ลงทุนไทยให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
อนึ่ง การสำรวจมุมมองผู้ลงทุนสถาบันไทยโดย AIMC นั้น มุ่งหวังให้ผลสำรวจนี้เป็นแนวทาง หลักคิดด้านการออมและลงทุน และช่วยให้ภาพรวมในการจัดแบ่งเงินลงทุน เพื่อที่ภาคธุรกิจ ผู้ลงทุน และประชาชนทั่วไปจะได้ประโยชน์ และสามารถสร้างความยั่งยืนผ่านเงินลงทุนของกิจการหรือของตนเองได้ต่อไป