ดาวโจนส์ปิดบวก 1.8 จุด หวังเฟดลดดอกเบี้ยปีหน้า

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 1.81 จุด ท่ามกลางการรายงานผลการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีก ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 2.99 ดอลลาร์ กว่า 4.1% หวังเฟดลดดอกเบี้ยปีหน้า ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดวันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ที่ 34,947.28 จุด เพิ่มขึ้น 1.81 จุด หรือ 0.01% ท่ามกลางการรายงานผลการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกและราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,514.02 จุด เพิ่มขึ้น 5.78 จุด, +0.13%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,125.48 จุด เพิ่มขึ้น 11.81 จุด, +0.08%

ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 1.9% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 2.2% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 2.4% เป็นการปิดบวกติดกันสัปดาห์ที่สาม

โรเบิร์ต ฟิปปส์ จาก Per Stirling กล่าวว่า ตลาดปรับขึ้นหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอ่อนตัวลงไปที่ระดับต่ำสุดรอบ 2 เดือนในระหว่างชั่วโมงซื้อขาย โดยชี้ไปที่กลุ่มหุ้นวัฏจักร(cyclical sector) ที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง ทั้งพลังงาน อุตสาหกรรมและการเงิน

หุ้นกลุ่มพลังงานบวก 2.1% เป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นมากที่สุดในบรรดา 11 กลุ่มใน S&P 500 หลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งกว่า 4%

ทั้งสามดัชนีปรับขึ้นต่อเนื่องจากแรงส่งในช่วงกลางสัปดาห์ เพราะตลาดเริ่มเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางสหรัฐจะผ่อนคลายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวและข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนลง เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการที่ดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้นมีผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ไม่ได้ทำให้ถดถอย

นอกจากนี้ยังมีสัญญาณที่คล้ายกันจากธุรกิจค้าปลีก โดยบริษัท แก๊ป(Gap) คาดการณ์ยอดขายช่วงวันหยุดที่ไม่สดใสเมื่อวานนี้ หลังจากที่วันก่อนหน้าวอลมาร์ทและทาร์เก็ตเตือนว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อฤดูกาลช้อปปิ้งที่สำคัญทั้งหมด

อย่างไรก็ตามหุ้น Gap พุ่ง 30% จากผลการดำเนินงานไตรมาสสามที่ดีกว่าคราด

ข้อมูลที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงแบบsoft landing ทำให้มีความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า

อย่างไรก็ตามการให้ความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดทำให้แนวโน้มดอกเบี้ยไม่แน่นอน โดยรองประธานเฟดด้านการกำกับดูแล นายไมเคิล บารร์ โดยเขาเชื่อว่า เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงสุดหรือใกล้ระดับสูงสุดสูงแล้ว แต่ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก นางแมรี ดาลี และประธานเฟดสาขาบอสตันนางซูซาน คอลลินส์ย้ำว่า ต้องมีข้อมูลเพิ่มเติมที่บ่งชี้การชะลอตัวของเงินเฟ้อของการปรับ

หุ้น Applied Materials ผู้ผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ ลดลง 4% หลังรายงานผลการดำเนินงานไตรมาสสามและรายงานข่าวว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐกำลังสอบสวนบริษัทว่าฝ่าฝืนกฎห้ามส่งออกไปจีน

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก ด้วยแรงหนุนจากกลุ่มการเงินและกลุ่มเฮลธ์แคร์ ส่งผลให้สัปดาห์นี้ปิดในแดนบวก ท่ามกลางความคาดหวังที่มากขึ้นว่าธนาคารกลางประเทศหลักจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุกในปีหน้า

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีอ่อนตัวไปที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 เดือน โดยตลาดขานรับโอกาสที่ธนาคารกลางยุโรป(ECB) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1% ภายในสิ้นปี 2024

ข้อมูลใหม่ยืนยันว่าเงินเฟ้อยูโรโซนเดือนตุลาคมลดลงแรงเมื่อเทียบรายปี อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังจับตาผลของการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน

ยอดค้าปลีกของอังกฤษเดือนตุลาคมลดลงเกินคาด เป็นสัญญานใหม่เตือนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ

หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1.7% กลุ่มเหมืองแร่ปรับขึ้นตามราคาทองแดงหลังเงินดอลลาร์อ่อนค่า

กลุ่มเฮลธ์แคร์บวก 1.2% โดยหุ้น AstraZeneca หุ้น,ช Novo Nordiskและหุ้น Sanofi เพิ่มขึ้นช0.9%-2.3%

หุ้น UBS Group บวก 3% และหนุนกลุ่มบริการทางการเงิน กลุ่มธนาคารบวก 1.4%

นักลงทุนจับตาการทบทวนอันดับเครดิตอิตาลี แม้นักวิเคราะห์มองว่ามีความเสี่ยงเล็กน้อยที่

Moody’s จะลดอันดับตราสารหนี้ของประเทศไปที่ระดับ junk ซึ่งหากลดจริงจะส่งผลต่อตลาดยุโรปและอื่นๆ

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 455.82 จุด เพิ่มขึ้น 4.55 จุด, +1.01%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,504.25 จุด เพิ่มขึ้น 98.23 จุด, +1.26%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,233.91 จุด เพิ่มขึ้น 65.51 จุด, +0.91%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,919.16 จุด เพิ่มขึ้น 132.55 จุด, +0.84%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น 2.99 ดอลลาร์ หรือ 4.1% ปิดที่ 75.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมกราคมเพิ่มขึ้น 3.19 ดอลลาร์ หรือ 4.1% ปิดที่ 80.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล