ก.ล.ต.จ่อออกหลักทรัพย์ดิจิทัล บาทเดียวก็ลงทุนได้เริ่มปี’68

HoonSmart.com>>ก.ล.ต.เตรียมนำเทคโนโลยีแปลงหลักทรัพย์เข้าระบบดิจิทัล ให้นักลงทุนเงินน้อยลงทุนได้ เริ่มปี’68 พร้อมเปิดโลกใหม่สร้างตลาดทุนอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ ปี’67 จัดหนักคนทำผิด 160 ราย สร้างความเชื่อมั่น

น.ส.จอมขวัญ คงสกุล รองเล​ขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ในการนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนตลาดทุนสู่ยุคดิจิทัลนั้น ก.ล.ต.อยู่ระหว่างสร้างระบบนิเวศหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (Digital Securities Ecosystem) โดยการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในการออกหลักทรัพย์รูปแบบดิจิทัล การดูแลหลักทรัพย์ การซื้อขาย การส่งมอบ การชำระบัญชี รวมถึงการจ่ายผลประโยชน์ต่างๆ ตามเงื่อนไขของหลักทรัพย์

ในการออกหลักทรัพย์รูปแบบดิจิทัล สามารถทำได้ 2 วิธี โดยวิธีแรกที่สามารถทำได้เลยคือการโคลนหลักทรัพย์ดั้งเดิมที่มีอยู่แล้วเป็นหลักทรัพย์ดิจิทัล เรียกว่าทวิน (Twin) และการออกหลักทรัพย์ดิจิทัลตั้งแต่แรก หรือเนทีฟ (Native) หลักทรัพย์ดิจิทัล จะออกมาเป็นหน่วยย่อยๆ ที่ทำให้ประชาชนที่มีเงินลงทุนน้อยสามารถลงทุนได้ คือมีบาทเดียวก็สามารถซื้อได้ และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก็จะได้ตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่ถือ เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดทุนได้อย่างเท่าเทียมกัน

นอกจากนี้ ใบหุ้นจะเป็นอิเล็คทรอนิกส์ด้วย จะไม่ออกเป็นกระดาษ การเปลี่ยนมือจะทำได้ง่าย และมีความถูกต้องแม่นยำ เพราะจะผ่านการตรวจสอบยืนยันที่เป็นฉันทามติจากระบบบล็อกเชน ทำให้มั่นใจว่าซื้อหุ้นแล้วจะได้หุ้นจริงๆ

ส่วนการชำระราคา จะชำระเป็นโทเคนหรือเหรียญ ที่เป็นสเตเบิลคอยน์ Stablecoin ซึ่งมีเงินบาทหนุนหลัง 1 บาท ต่อ 1 เหรียญ ปัจจุบันมีระบบการชำระราคาดังกล่าวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชื่อ Programmable Payment ที่อยู่ในช่วงทดสอบ หรือ แซนด์บ๊อก โดยก.ล.ต.ก็มีแผนจะทำ Stablecoin ด้วย ซึ่งจะมีการหารือกับทางแบงก์ชาติต่อไป

“เราจะเริ่มจากการโคลนหุ้นกู้ก่อน น่าจะสามารถซื้อได้ในปี 2568 เพราะขณะนี้อยู่ระหว่างแก้ไขกฎหมายเพื่อออกมารองรับหลักทรัพย์ดิจิทัล อย่างเร็วน่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 หรืออย่างช้าไม่เกินไตรมาส 2 ปี 2568 และจะทำการขยายไปยังหลักทรัพย์อื่นๆ ต่อไป จะทำให้นักลงทุนรายย่อยที่มีเงินแค่บาทเดียวก็ซื้อหุ้นได้ และเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดทุนด้วย ในระยะยาวหลักทรัพย์จะเข้าสู่อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด”น.ส.จอมขวัญ กล่าว

ปี’67 จัดหนักคนทำผิด 160 ราย
นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กล่าวว่า แผนงาน 3 ปี (2568-2570) มีอยู่ 4 ด้านหลักๆ ประกอบด้วย การสร้างความน่าเชื่อถือ การนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนตลาดทุนสู่ยุคดิจิทัล การใช้ตลาดทุนเป็นกลไกไปสู่ความยั่งยืน และเพิ่มศักยภาพทางการเงินของผู้ลงทุน ให้มีความรู้ในการป้องกันการถูกหลอก และมีความรู้ในการใช้ตลาดทุนสร้างความมั่งคั่งทางการเงิน

ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนนั้น การบังคับใช้กฎหมายที่รวดเร็ว มีส่วนสำคัญในการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา โดยปีนี้ถึง 9 ธ.ค.2567 ทางก.ล.ต.มีการดำเนินคดีอาญา กล่าวโทษผู้กระทำผิดต่อพนักงานสอบสวน 13 คดี มีผู้กระทำความผิด 87 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มี 8 คดี มีผู้กระทำความผิด 88 ราย

ส่วนคดีแพ่ง มีการกล่าวโทษ 10 คดี มีผู้กระทำความผิด 72 ราย มีผู้ชำระค่าปรับและคืนผลประโยชน์ที่ได้ไป 696 ล้านบาท ซึ่งได้นำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดิน จากปี 2566 ที่มี 7 คดี มีผู้กระทำความผิด 22 ราย

ด้านการป้องกันการถูกหลอกลงทุน มีการรับเรื่องผ่านสายด่วนแจ้งหลอกลงทุน 5,057 บัญชี สามารถปิดกั้นได้ 2,940 บัญชี โดยมีการหลอกผ่านติ๊กต๊อกมากที่สุด ตามด้วยเฟสบุ๊ค

มีคดีแต่ยังไม่ถูกตัดสินนั่งบริหารได้
สำหรับ คุณสมบัติของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนนั้น ทาง ก.ล.ต. จะยึดหลักว่าหากมีคดี แต่คดีนั้นยังไม่ถูกตัดสินถึงที่สุด หรือ ศาลยังไม่ชี้ขาด ถือว่าสามารถนั่งบริหาร หรือเป็นคณะกรรมการได้ แต่ภายหลังหากถูกศาลตัดสินถึงที่สุดว่ามีความผิดตามกฎหมาย จะถือว่าขาดคุณสมบัติในทันที

ทั้งนี้ นักลงทุน ควรจะใช้ความระมัดระวังในการลงทุน และดูคุณสมบัติของผู้บริหาร และคณะกรรมการด้วย โดยยึดหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี

“ในการกำกับดูแล เราได้ยกระดับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเพิ่มเติม และมีการยกระดับถึงการดูแลคณะกรรมการตรวจสอบ เช่น ถ้าลาออกทั้งคณะต้องมีการชี้แจง และจะยกระดับเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติม”นายเอนก กล่าว

Thai ESG เติมสภาพคล่อง
นายเอนก กล่าวว่า ด้านกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ณ วันที่ 9 ธ.ค.2567 มีทั้งสิ้น 38 กองทุน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มี 16 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ(NAV) 16,042 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มี 5,567 ล้านบาท จาก 22 กองทุน