LPN กำไร Q3/66 วูบ 56% เปิดตัว 2 โครงการใหม่ส่งท้ายปี

HoonSmart.com>> “แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์” (LPN) เปิดกำไรไตรมาส 3/66 อยูที่ 104 ล้านบาท ลดลง 56% ฉุด 9 เดือนกำไร 336 ล้านบาท ลดลง 41% เหตุรายได้รวมวูบ รายได้หลักจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ลดลง 62% คาดรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจากโครงการแล้วเสร็จปีนี้ ด้าน Balog กว่า 2,800 ล้านบาท พร้อมเปิดตัว 2 โครงการใหม่ในไตรมาส 4/66 มูลค่า 2,800 ล้านบาท

บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 103.92 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.07 บาท ลดลง 55.94% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 235.84 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.16 บาท

ส่วน 9 เดือน ปี 2566 กำไรสุทธิ 336.05 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.23 บาท ลดลง 41.52% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 574.61 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.40 บาท

บริษัทฯ ชี้แจงกำไรสุทธิลดลงส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ลดลง 62.50% ในไตรมาส 3 ปี 2566 และลดลง 45.38% ในงวด 9 เดือน ขณะเดียวกันทั้งไตรมาส 3ปี 2566 และงวด 9 เดือนมีกำไรขั้นต้นจากธุรกิจดังกล่าวเพิ่มขึ้น 1.70% และ 1.41% ตามลำดับ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,999.33 ล้านาท ลดลง 52.43% และ 9 เดือนอยู่ที่ 5,563.50 ล้านบาท ลดง 33.83%

สำหรับกลุ่มธุรกิจให้เช่าและกลุ่มธุรกิจบริหาร มีรายได้ใน ในไตรมาส 3 ปี 2566 เพิ่มขึ้น 7.01% และ 29.79% ตามลำดับ รวมงวด 9 เดือนเพิ่มขึ้น 7.26% และ 30.04% ตามลำดับ) เกิดจากความต้องการที่พักอาศัยภายหลังสถานการณ์โควิด 19 และการขยายธุรกิจเพิ่มเติมของธุรกิจบริหาร

ส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารใน ในไตรมาส 3 ปี 2566 ลดลง 523.80 ล้านบาท เป็น 292.15 ล้านบาท หรือ 44.22% และ 9 เดือนลดลง 19.58% เกิดจากค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธื์ลดลงตามยอดรายได้ที่ลดลง ค่าใช้จ่ายการบริหารเพิ่มขึ้นรองรับการขยายโครงการใหม่เพิ่มขึ้น 7.74% และ 9 เดือนเพิ่ม 11.05%

อย่างไรก็ตามคาดว่ารายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และกำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นจากโครงการแล้วเสร็จในปี 2566 ทั้งโครงการอาคารชุดพักอาศัยและบ้านพักอาศัย

บริษัทฯ เปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 3 ปี 2566 จำวน 5 โครงการ รวม 9 เดือนเปิด 10 โครงการ มูลค่ารวม 10,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัย 1 โครงการและบ้านพักอาศัย 4 โครงการ ทำให้ไตรมาส 4 นี้มีแผนเปิดโครงการใหม่ตามแผนอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุดพักอาศัย 1 โครงการ มูลค่า 900 ล้านบาทและบ้านพักอาศัย 1 โครงการ มูลค่า 1,100 ล้านบาท จะส่งผลให้บริษัทมียอดขายและรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ส่วนยอดขายรอโอน (Backlog) จำนวน 2,800 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2566 จำนวน 1,000 ล้านบาท และปี 2567 จำนวน 1,800 ล้านบาท