ดาวโจนส์ปิดบวก 123 จุด รอผลประชุมเฟด

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก 123 จุด รอผลประชุมเฟด ประเมินข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคและรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.29 ดอลลาร์ ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดวันที่ 31 ตุลาคม 2566 ที่ 33,052.87 จุด เพิ่มขึ้น 123.91 จุด หรือ 0.38% นักลงทุนมองไปข้างที่การตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการประชุมที่จะเสร็จสิ้นในวันพุธ (1 พ.ย.) ขณะที่ประเมินข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคล่าสุด รวมไปถึงการรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ผสมปนเปกัน
      
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,193.80 จุด เพิ่มขึ้น 26.98 จุด, +0.65%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,851.24 จุด เพิ่มขึ้น 61.76 จุด, +0.48%

ทั้งสามดัชนีหลักปรับตัวลงติดต่อกัน 3 เดือนเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2020 โดยในเดือนตุลาคมดัชนีดาวโจนส์ลดลง 1.4% ดัชนี S&P500 ลดลง 2.2% ส่วนดัชนี Nasdaq ลดลง 2.8%     

ตลาดฟื้นตัวได้ในช่วงปลายเดือนหลังจากถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่พุ่งสูงขึ้น แม้ในช่วงแรกของวันมีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสที่สาม ทำให้กังวลขึ้นบ้างว่าเฟดอาจปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอีกเป็นเวลานานกว่าเดิม

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และการเงินปรับตัวโดดเด่นในดัชนี S&P 500 โดยบวก 2% และ 1.1% ตามลำดับ แต่หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่บางตัวยังปรับตัวลง ทั้งอัลฟาเบทและเมตาแพลตฟอร์ม ส่วนหุ้น Nividia ลดลง 1%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้นหลังจากที่กระทรวงการคลังสหรัฐปรับลดประมาณการจำนวนเงินที่รัฐบาลจะต้องกู้ยืมในไตรมาสที่สี่ ส่งผลให้แรงกดดันต่อหุ้นลดลง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีปิดทรงตัวที่ระดับ 4.87%

ซามีร์ ซามา นักกลยุทธ์ตลาดอาวุโสระดับโลกของ Wells Fargo Investment Institute กล่าวว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ทำให้นักลงทุนบางส่วนเล็งที่จะเข้าช้อนซื้อ เพราะการเทขายออกก่อนหน้านี้ทำให้ราคาหุ้นกลับมาที่ fairly valued จาก over-valued
      
การประชุมนโยบายการเงินของเฟดได้เริ่มขึ้นแล้วเมื่อวานนี้และจะเสร็จสิ้นในวันพุธ(1 พ.ย. ) ซึ่งคาดการณ์กันในวงกว้างว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ย และนักลงทุนจะติดตามแถลงการณ์ของเฟด รวมทั้งการให้ความเห็นของประธานเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ เพื่อหา
สัญญานแนวทางของการดำเนินนโยบายการเงิน
      
เกร็ก บาสซัค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจากAXS Investments กล่าวว่า ตลาดกลับเข้ามาในแดนบวก จากการคาดการณ์ในทิศทางเดียวกันที่ว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้

อย่างไรก็ตามมุมมองในทางบวกที่เกี่ยวกับเฟดนั้นถูกกลบด้วยการรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังและความวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยบาสซัคชี้ว่า รายงานผลประกอบการที่หลากหลาย และบริษัทต่างๆ สื่อสารถึงความกังวลเกี่ยวกับไตรมาสหน้า จากราคาพลังงานสูงขึ้นและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น จากสงครามในอิสราเอลและยูเครนที่ ยังไม่เห็นว่าจะสิ้นสุด

หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ บริษัทผลิตเครื่องจักรหนักลดลง 6.7% หลังจากสัญญานการชะลอตัวของอุปสงค์ชแม้ผลประกอบการไตรมาส 3 ดีเกินคาด

หุ้น Amgen บริษัทผลิตยาลดลง 2.8% หลังรายงานผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด

จากข้อมูล LSEG พบว่า บริษัท 279 แห่งที่อยู่ใน S&P 500 ที่รายงานผลประกอบการจนถึงปัจจุบัน มีมากกว่า 78% ที่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และนักวิเคราะห์คาดว่ากำไรของบริษัท S&P 500 จะเพิ่มขึ้น 4.9% ในไตรมาสที่สาม

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนตุลาคมของ Conference Board ที่ลงสู่มาที่ 102.6 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน จาก 104.3 ในเดือนกันยายน

เอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ รายงานผลสำรวจราคาบ้านทั่วประเทศเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน และเมื่อเทียบรายเพิ่มขึ้น 2.6%

นักลงทุนจับตาการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญอีกหลายรายการ ทั้งการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนตุลาคมในวันศุกร์ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 188,000 ตำแหน่ง รวมไปถึงข้อมูลการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนกันยายน และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นจากการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ดีกว่าคาด แต่ตลอดทั้งเดือนตุลาคมดัชนี STOXX 600 ยังคงปรับตัวลง จากความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่จะสูงขึ้นเป็นเวลานาน
      
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยลดลงในช่วง 3 เดือนรวม 3.7%

ไมเคิล ฟิลด์ นักกลยุทธ์หุ้นยุโรปของ Morningstar กล่าวว่า การปรับขึ้นตลาดวันนี้ส่วนหนึ่งมาจากการเข้าซื้อหลังร่วงลงไปก่อนหน้า และกลับมาอยู่ในจุดที่หุ้นไม่แพง แต่ก็ไม่ถูกเช่นกัน และก็ไม่มีเหตุผลใดที่ตลาดจะพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงสิ้นปี เว้นเสียแต่ว่าภาพเศรษฐกิจจะเปลี่ยนเป็นบวก

ประมาณการเบื้องต้น แสดงให้เห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่สาม ของยูโรโซนอ่อนแอกว่าที่คาดไว้ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหดตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และเมื่อเทียบเป็นรายปีอัตราการเติบโตชะลอตัวลงอย่างมาก

ยอดค้าปลีกของเยอรมนีลดลงในเดือนกันยายนจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่อง

นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางอังกฤษในสัปดาห์นี้

หุ้นกลุ่มเคมีภัณฑ์ บวก 1.7% หลังหุ้น BASF ของเยอรมนี เพิ่มขึ้น 4.5% แม้รายงานผลประกอบการหลักในไตรมาส 3 ลดลง และปรับลดแนวโน้มผลประกอบการทั้งปี

หุ้นกลุ่มพลังงานลดลงมากที่สุด จากหุ้น BP ที่ลดลง 4.6% หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด

ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า มีบริษัท 158 แห่งในดัชนี STOXX 600 ได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 แล้ว โดย 57.6% รายงานผลประกอบการสูงเกินคาด

หุ้น Siemens Energy ลดลง 0.8% หลังมีรายงานข่าวอ้างแหล่งข่าวว่าบริษัทเตรียมที่จะขายหุ้น 24% ที่ถืออยู่ใน Siemens Ltd ที่จดทะเบียนในอินเดียให้กับ Siemens AG ซึ่งเคยเป็นบริษัทแม่เพื่อทำงบดุลให้ดีขึ้น
      
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 433.66 จุด เพิ่มขึ้น 2.54 จุด, +0.59%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,321.72 จุด ลดลง 5.67 จุด, -0.07%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,885.65 จุด เพิ่มขึ้น 60.58 จุด, +0.89%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,810.34 จุด เพิ่มขึ้น 93.80 จุด, +0.64%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนธันวาคมลดลง 1.29 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 81.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคมลดลง 4 เซนต์ หรือ 0.04% ปิดที่ 87.41ดอลลาร์ต่อบาร์เรล