HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดบวก ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 188 จุด เป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แรงหนุนหุ้นเทคโนโลยี ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ลดลง ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 29 พฤศจิกายน ปิดที่ 44,910.65 จุด เพิ่มขึ้น 188.59 จุด หรือ +0.42% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยแรงหนุนของหุ้นเทคโนโลยี เช่น หุ้น Nvidia ขณะที่กลุ่มค้าปลีกอยู่ในความสนใจจากเทศกาลช้อปปิ้งช่วงวันหยุดได้เริ่มแล้ว
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,032.38 จุด เพิ่มขึ้น 33.64 จุด, +0.56% % ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,218.17 จุด เพิ่มขึ้น 157.69 จุด, +0.83%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.39% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.06% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 1.13%
อย่างไรก็ตามตลาดมีการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ซึ่งเป็นวันซื้อขายสุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่ปิดทำการในวันพฤหัสบดี (28 พ.ย.) เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า
การปรับขึ้นบางส่วนมาจากหุ้นชิป ซึ่งพุ่งขึ้นมาหลังจาก Bloomberg รายงานว่า มาตรการในการขายอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ให้กับจีน ที่ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังพิจารณานั้นไม่รุนแรงเท่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ Lam Research เพิ่มขึ้นกว่า 3% หุ้น Nvidia เพิ่มขึ้นกว่า 2% หุ้น Tesla เพิ่มขึ้น 3.7% ดัชนี Philadelphia SE ที่ตลาดหุ้นฟิลาเดลเฟียพุ่งขึ้น 1.5%
นักลงทุนจับตาการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงวัน Black Friday ที่มีการลดราคาอย่างมาก Adobe Analytics คาดการณ์ว่าผู้บริโภคจะใช้จ่ายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 10.8 พันล้านดอลลาร์ในการซื้อออนไลน์ เพิ่มขึ้น 9.9% จาก Black Friday เมื่อปีที่แล้ว
หุ้น Target เพิ่มขึ้น 1.7% หุ้น Macy’s บวก 1.8%
ชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนนี้ บวกกับพรรครีพับลิกันคว้าเสียงข้างมากในทั้งสองสภา เป็นปัจจัยที่หนุนตลาดหุ้น ด้วยนักลงทุนคาดหวังว่านโยบายส่งเสริมธุรกิจของทรัมป์สามารถกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลกำไรของบริษัทได้
อย่างไรก็ตาม ก็มีความกังวลว่าอาจส่งผลต่อเงินเฟ้อ รวมทั้งทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed และส่งผลกระทบต่อการเติบโตทั่วโลก
FedWatch ของกลุ่ม CME แสดงให้เห็นว่าเทรดเดอร์คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลง 0.25%ในการประชุมเดือนธันวาคม แต่จะหยุดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยชั่วคราวในเดือนมกราคมในเดือนพฤศจิกายนดัชนี Russell 2000 หุ้นเล็ก เพิ่มขึ้นโดดเด่น โดยพุ่งขึ้น 10.8% และเพิ่มขึ้น 1.2% ในสัปดาห์นี้
ตลาดยุโรปปิดบวกจากร่วงลงในวันก่อนหน้า จากการปรับขึ้นของหุ้นเทคโนโลยี ขณะที่นักลงทุนวิเคราะห์รายงานอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนเพื่อประเมินความเป็นไปได้ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่มากขึ้นในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตามปริมาณการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดทำการครึ่งวัน
ดัชนี STOXX 600 ปิดบวกรายเดือนครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม และเพิ่มขึ้น 1% ในเดือนพฤศจิกายน
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหนุนดัชนีมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 1.6%
กลุ่มทรัพยากรพื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.6% จากการหุ้น Anglo American ที่เพิ่มขึ้น 5.4% หลัง Jefferies เพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น “buy” จาก “hold”
อัตราเงินเฟ้อเบื้องต้นของยูโรโซนเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ เงินเฟ้อของฝรั่งเศสเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ขณะที่ยอดค้าปลีกเยอรมนีเดือนตุลาคมลดลงมากกว่าคาด
ตลาดมองว่ามีโอกาสกว่า 80% ที่การประชุมของธนาคารกลางยุโรปในวันที่ 12 ธันวาคมจะปรับลดดอกเบี้ย 0.25%
นักวิเคราะห์ของ Capital Economics ประเมินการปรับดอกเบี้ย 0.50% ยังคงมีความเป็นไปได้สูง เพราะข้อมูลที่เผยแพร่ในสัปดาห์นี้ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจยูโรโซนยังอ่อนแอ
กลุ่มรถยนต์เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในเดือนพฤศจิกายน ด้วยความกังวลว่าการเก็บภาษีสินค้าของเม็กซิโกของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปได้มากกว่าการเก็บภาษีโดยตรงกับสินค้าของสหภาพยุโรป
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 510.25 จุด เพิ่มขึ้น 2.95 จุด, +0.58%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,287.3 จุด เพิ่มขึ้น 6.08 จุด, +0.07%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,235.11 จุด เพิ่มขึ้น 55.86 จุด, +0.78%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 19,626.45 จุด เพิ่มขึ้น 200.72 จุด, +1.03%
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมกราคม ลดลง 72 เซนต์ หรือ 1.05% ปิดที่ 68.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมกราคม ลดลง 34 เซนต์ หรือ 0.46% ปิดที่ 72.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
———————————————————————————————————————————————————–