HoonSmart.com>>”บลจ.อีสท์สปริง” แนะจัดพอร์ตลงทุนโค้งสุดท้ายไตรมาส 4/67 เน้นหุ้นกลุ่มคุณภาพมากขึ้น ส่วน “ตราสารหนี้” คุณภาพดีมีผลตอบแทนน่าสนใจ Duration ไม่ยาวเกินไป ชู 3 ธีมเด่น “หุ้นโลกคุณภาพดี-หุ้นสหรัฐฯได้ประโยชน์มาตรการทรัมป์-กองทุนตราสารหนี้โลก” พร้อมแนะกองทุน ES-GQG,ES-USBLUECHIP, ES-GINCOME ส่วน “หุ้นไทย” คาดได้แรงหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้านการคลังในช่วงปลายปีและเงินเข้าลงทุน “กองทุนประหยัดภาษี” ช่วงปลายปีหนุน
นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของไตรมาส 4 ภาพรวมการลงทุนถือว่ายังมีความท้าทายอยู่จากทั้งรื่องของความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางหลักทั่วโลกว่าจะเป็นแนวโน้มการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องต่อไปตามที่ตลาดคาดหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตลาดหุ้นยังคงมีความน่าสนใจโดยได้รับแรงหนุนจากการประกาศงบของไตรมาสที่ 3/24 โดยเฉพาะงบของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ยังมียอดขายและกำไรเติบโตได้ดีกว่าที่คาดเล็กน้อย รวมถึงนโยบายทางการเงินจาก Fed ที่มีการลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนพฤศจิกายน 2567 (ที่มาของข้อมูล: สำนักข่าวรอยเตอร์ ณ 8 พ.ย. 2567) ซึ่งคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีในเดือนธันวาคม ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินโดยรวมลดลง แต่ยังคงถูกกดดันจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เป็นระยะๆ
“ขณะที่ตลาดหุ้นไทยโดยภาพรวม คาดว่าตลาดน่าจะได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางด้านการคลังในช่วงปลายปี รวมถึงในส่วนของเงินจาก Tax saving fund ที่โดยมากมักจะเข้าในช่วงปลายปี” นายยิ่งยง กล่าว
อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามความเสี่ยงจากการดำเนินนโยบาย จากทางสหรัฐหลังทรัมป์ได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้งซึ่งผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแต่ละประเด็นที่ต้องติดตามคือ 1. มาตรการทางด้านภาษี โดยที่ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะขยายเวลาแคมเปญ TCJA หรือ Tax Cut And Jobs Act ที่ประกาศใช้ในปี 2017 ออกไป ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะหมดอายุในปี 2025 ขณะที่ในแง่ของภาษีนิติบุคคล ทรัมป์มีโอกาสที่จะให้ลดภาษีลงอีกจาก 21% ไปที่ 15% อย่างไรก็ตามการลดอัตราภาษีจะหมายถึงรายได้ภาครัฐที่ลดลงซึ่งทรัมป์ตั้งเป้าจะมีรายได้ชดเชยจากการเก็บภาษีนำเข้าจากทั่วโลก ซึ่งคาดว่านโยบายภาษีของทรัมป์อาจช่วยกระตุ้นการเติบโตของ GDP ในระยะสั้นๆ และทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นในอนาคต รวมถึงจะทำให้ความไม่เท่าเทียมกันรุนแรงมากขึ้น
2. ทางทรัมป์มีนโยบายกีดกันผู้อพยพโดยผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการลดจำนวนผู้อพยพและการเนรเทศผู้อพยพที่ไม่ได้รับอนุญาตจะทำให้ GDP สหรัฐฯลดลงและเกิดภาวะเงินฝืดในระยะกลางเนื่องจากการลดจำนวนประชากรจะทำให้อุปทานแรงงานลดลงรวมถึงอุปสงค์ในประเทศลดลงเช่นกัน อย่างไรก็ตามผลกระทบจากนโยบายกีดกันผู้อพยพจะมีความแตกต่างกันไปตามความเข้มงวดของนโยบาย
3.นโยบายการขึ้นภาษีศุลกากรเป็นนโยบายหลักในการหาเสียงของทรัมป์ โดยเขาได้เสนอให้กำหนดภาษีศุลกากรพื้นฐาน 10%-20% สำหรับสินค้าที่นำเข้าทั้งหมด และ 60% สำหรับสินค้าจากจีน อย่างไรก็ตามการขึ้นภาษีศุลกากรเป็นความพยายามที่ทุกฝ่ายต่างเสียเปรียบ ในสถานการณ์ที่มีสินค้าทดแทนน้อย ผู้ส่งออกก็มีแนวโน้มที่จะลดราคาน้อยลง ดังนั้นผู้บริโภคของสหรัฐฯจึงต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าที่ราคาแพงมากขึ้น และทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้น ซึ่งจะทำให้เฟดสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้น้อยลงและช้าลง นอกจากนี้เองหากการกีดกันทางการค้าเกิดขึ้นจริงตามที่ทรัมป์เสนอ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จะมีแนวโน้มสูงขึ้นและส่งผลให้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกผันผวนมากขึ้นตามไปด้วย
สำหรับการลงทุนในช่วงนี้ นายยิ่งยง กล่าวว่า แนะนำเน้นลงทุนไปยังหุ้นกลุ่ม Quality มากขึ้น รวมถึงหุ้นที่มีกระแสะเงินสดสูงเพื่อรองรับกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น ขณะที่ตราสารหนี้ควรเน้นตราสารหนี้คุณภาพที่มี Yield ที่น่าสนใจและ Duration ไม่ยาวเกินไป เผื่อกรณีเงินเฟ้อจากนโยบายของทรัมป์ดันเงินเฟ้อสูงขึ้น โดยมีคำแนะนำจัดพอร์ตออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.Conservative (รับความเสี่ยงได้ไม่มาก) มีหุ้นไม่เกิน 25% 2. Moderate (รับความเสี่ยงได้ปานกลาง) มีหุ้นไม่เกิน 40-50% 3. Aggressive (รับความเสี่ยงได้สูง) มีหุ้นประมาณ 80-90%
ธีมที่น่าสนใจได้แก่ 1. กลุ่มหุ้นที่มีลักษณะ Quality & Growth เช่น กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Quality Growth (ES-GQG) 2.กลุ่มกองทุนที่ได้ประโยชน์จากนโยบายลดภาษีและกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ เช่น กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity (ES-USBLUECHIP) และ 3.กองทุนที่ได้ประโยชน์จากธีมลดดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสามารถ Soft Landing ได้ เช่น กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Income (ES-GINCOME)
———————————————————————————————————————————————————–