ดาวโจนส์ปิดบวก 123 จุด นักลงทุนเมินคำขู่เก็บภาษีของทรัมป์

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดบวก ดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 123 จุด นักลงทุนมองข้ามคำขู่ “ทรัมป์” เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา ด้านความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ลดลงหลังจากอิสราเอลและฮิซบอลเลาะห์บรรลุข้อตกลงหยุดยิง ราคาน้ำมันดิบลดลง ฟาก “ตลาดหุ้ยุโรป” ปิดลบกังวลทรัมป์เก็บภาษี

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 26พฤศจิกายน ปิดที่ 44,860.31 จุด เพิ่มขึ้น 123.74 จุด หรือ +0.28% นักลงทุนมองข้ามคำขู่การเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา ของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ลดลงหลังจากอิสราเอลและฮิซบอลเลาะห์บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,021.63 จุด เพิ่มขึ้น 34.26 จุด, +0.57%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,174.30 จุด เพิ่มขึ้น 119.46 จุด, +0.63%

ในช่วงแรก ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงไปที่ระดับต่ำสุดของวันกว่า 300 จุด ก่อนที่จะฟื้นตัว

กลับมาปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนดัชนี S&P 500 สร้างสถิติใหม่ทั้งระหว่างวันและเมื่อปิดตลาด

การปรับขึ้นในหุ้นใหญ่ ช่วยหนุนกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและ ดัชนี Nasdaq โดยหุ้น Microsoft เพิ่มขึ้นกว่า 2% หุ้น Apple เพิ่มขึ้นราว 1% หุ้น Meta Platforms เพิ่มขึ้น 1.5%
เมื่อคืนวันจันทร์ ทรัมป์โพสต์บนเครือข่าย Truth Social ของเขา ว่าจะเก็บภาษีเพิ่ม 10%

สำหรับการนำเข้าของจีน และเก็บภาษี 25% สำหรับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจากเม็กซิโกและแคนาดาใหม่ ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยกล่าวว่า จะกำหนดอัตราภาษีสูงถึง 20% สำหรับการนำเข้าทั้งหมด และเก็บภาษีเพิ่มอย่างน้อย 60% สำหรับสินค้าจากจีน

เจมี ค็อกซ์ หุ้นส่วนผู้จัดการของ Harris Financial Group กล่าวว่า นักลงทุนดูเหมือนว่าจะมองข้ามการประกาศของทรัมป์ อาจจะเป็นเพราะคาดหวังว่าจะการเก็บภาษีจะไม่เกิดขึ้นจริง หรือรับรู้ไปแล้ว

เดนนิส เดอบุสเชียร์ จาก 22V Research มองว่า ทรัมป์เชื่อมโยงภาษีเข้ากับการแก้ปราบปรามผู้อพยพและยาเสพติดที่ผิดกฎหมาย แทนที่จะเป็นนโยบายการค้าและเศรษฐศาสตร์ ซึ่งส่งสัญญาณให้นักลงทุนทราบว่าเป็นกลยุทธ์ในการเจรจา ไม่ใช่เครื่องมือเชิงนโยบาย

นอกจากนี้นักลงทุนมองว่าการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดานั้น อาจจะเป็นการละเมิดข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ซึ่งทรัมป์เป็นผู้ลงนามให้เป็นกฎหมายและมีผลบังคับใช้ในปี 2020

อย่างไรก็ตามคำขู่ของทรัมป์ก็มีผลต่อหุ้นรายตัวและกองทุนบางส่วน เนื่องจากนักลงทุนวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ปรับตัวลงโดยหุ้น General Motors ลดลง 9% และหุ้น Ford ลดลง 2.6% เนื่องจากมีตลาดในเม็กซิโกและจีน หุ้น Constellation Brands ผู้ผลิตเบียร์เม็กซิโก Corona และ Modelo ลดลงกว่า 3%
ประธานาธิบดีเม็กซิโก เคลาเดีย ไชน์บัม ปาร์โดระบุเมื่อวันอังคารว่า การเก็บภาษีใหม่กับเม็กซิโกจะพบกับภาษีตอบโต้การส่งออกจากสหรัฐฯ ไปยังเม็กซิโก

นักลงทุนยังวิเคราะห์รายงานการประชุมวันที่ 6-7 พฤศจิกายนของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่เผยแพร่เมื่อบ่ายวันอังคาร ซึ่งระบุว่า เฟดคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคต แต่คาดว่าจะปรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป

รายงานการประชุมระบุว่า ในการหารือแนวโน้มนโยบายการเงิน ผู้เข้าร่วมคาดการณ์ว่าหากข้อมูลออกมาเป็นไปตามคาด โดยอัตราเงินเฟ้อยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องมาที่ 2% และเศรษฐกิจยังมีการจ้างงานใกล้ระดับสูงสุด ก็น่าจะเหมาะสมที่จะค่อยๆ ปรับไปสู่นโยบายการเงินที่เป็นกลางมากขึ้น

แต่รายงานการประชุมไม่ได้ทำให้มุมมองต่อการประชุมของเฟดในเดือนธันวาคมเปลี่ยนไป ความน่าจะเป็นที่จะปรับลด 0.25% ยังอยู่ที่ประมาณ 63% แต่อาจจะมีผลต่อการประเมินการดำเนินการในปี 2025 เมื่อฝ่ายบริหารชุดใหม่เข้ารับตำแหน่งและเฟดมีความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายภาษี การใช้จ่าย และการค้ามากขึ้น

ตลาดยังได้แรงหนุนจากการประกาศของนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ว่าคณะรัฐมนตรีความมั่นคงได้เห็นชอบให้ทำข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน
โดยรวมแล้ว มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างเบาบางก่อนวันหยุดขอบคุณพระเจ้าในวันพฤหัสบดีและจะปิดทำการในวันศุกร์

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ คือยอดขายบ้านใหม่เดือนตุลาคมจากกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งลดลงมาที่ 610,000 ยูนิต หรือลดลง 17.3% เมื่อเทียบรายเดือน แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี และต่ำกว่า 725,000 ยูนิต ที่นักวิเคราะห์

Conference Board รายงานผลสำรวจ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายนว่าเพิ่มขึ้นมาที่ 111.7 จาก 109.6 ในเดือนตุลาคมและสูงกว่า 111.0 ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์

ตลาดยุโรปปิดลดลงทั่วทั้งภูมิภาค นำโดยกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ จากการคุกคามด้านภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ต่อคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าโลกอีกครั้ง

ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม วางแผนที่จะกำหนดอัตราภาษี 25% สำหรับการนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก และเก็บภาษีเพิ่มอีก 10%
จากจีน

ตลาดมีความกังวลเกี่ยวว่านโยบายภาษีของทรัมป์จะกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก และมีผลต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงินยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกด้วย
หุ้นที่มีธูรกิจในจีนได้รับผลกระทบมากที่สุดในดัชนี

กลุ่มยานยนต์ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดภายใต้การเก็บภาษีของทรัมป์ ลดลง 1.6% โดย Stellantis และ Volkswagen ลดลงมากสุด โดยลดลง 4.8% และ 2.4% ตามลำดับ
กลุ่มค้าปลีกและเหมืองแร่เป็นอีกกลุ่ม ที่ได้รับผลกระทบหนัก โดยลดลง 1% และ 1.9% ตามลำดับ โดยกลุ่มเหมืองแร่ได้รับผลกระทบจากราคาโลหะที่อ่อนตัว

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 505.90 จุด ลดลง 2.88 จุด, -0.57%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,258.61 จุด ลดลง 33.07 จุด, -0.40%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,194.51 จุด ลดลง 62.96 จุด, -0.87%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 19,295.98 จุด ลดลง 109.22 จุด, -0.56%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมกราคม ลดลง 17 เซนต์ หรือ 0.25% ปิดที่ 68.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมกราคม ลดลง 20 เซนต์ หรือ 0.27% ปิดที่ 72.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
———————————————————————————————————————————————————–