2 กองทุนหุ้นจีน “Greater China” เด่น “UOBSGC-GC” โชว์กำไร 9 เดือนปีนี้

HoonSmart.com>> ส่องผลตอบแทน “กองทุนหุ้นจีน” ช่วง 9 เดือนแรกปี 66 พบ “กองทุน UOBSGC – GC” บริหารจัดการโดยบลจ.ยูโอบี ผลงานโดดเด่นผลตอบแทนเป็นบวก สวนกลุ่มหุ้นจีนติดลบ ชูกระจายลงทุนในตลาด Greater China (จีน ไต้หวันและฮ่องกง) ช่วยฝ่าวิกฤตตลาดหุ้นจีนร่วง

“HoonSmart” สำรวจผลตอบแทนกลุ่ม “กองทุนหุ้นจีน” ในช่วง 9 เดือนปี 2566 ข้อมูล ณ 29 ก.ย.2566 มีเพียง 2 กองทุนที่ลงทุนใน Greater China ได้แก่ จีน ไต้หวันและฮ่องกง ที่ยังสร้างผลตอบแทนเป็นบวก จากจำนวนกองทุนหุ้นจีนทั้งหมด 122 กองทุน ซึ่งส่วนใหญ่ลงทุนในตลาดหุ้นจีน A-Share (จีนแผ่นดินใหญ่) และ H-Share (บริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง)

สำหรับ 5 อันดับแรกกองทุนหุ้นจีนผลตอบแทนสูงสุด ได้แก่ กองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ เกรธเธอร์ ไชน่า (UOBSGC) บริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) ผลตอบแทนสูงถึง 8.85% อันดับ 2 กองทุนเปิด เกรธเธอร์ ไชน่า (GC) ผลตอบแทน 1.34% ของบลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) เช่นกัน ทั้งนี้ 2 กองทุน อ้างอิงข้อม฿ล ณ 28 ก.ย.2566

ในขณะที่อันดับ 3 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน (ชนิดเพื่อการออมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์) หรือ SCBCE(SSFE) ผลตอบแทน -1.07% อันดับ 4 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน (ชนิดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์) -1.07% อันดับ 5 กองทุนเปิดเค ดัชนีหุ้นจีน ผลตอบแทน -1.17%

สำหรับกองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ เกรธเธอร์ ไชน่า (UOBSGC) เน้นลงทุนในตลาด Greater China (จีน ไต้หวันและฮ่องกง) โดยกองทุนลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศประเภท Feeder Fund หรือลงทุนในกองทุนต่างประเทศเป็นหลักเพียงกองทุนเดียวได้แก่ United Greater China Fund Class A SGD Acc โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าสินทรัพย์ ซึ่งกองทุนดังกล่าวจัดตั้งและบริหารจัดการโดย UOB Asset Management ประเทศสิงคโปร์ และได้มอร์นิ่งสตาร์ 5 ดาว

นโยบายลงทุนของกองหลักจะลงทุนในหลักทรัพย์ตราสารทุน ของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในเขตปกครองพิเศษ ฮ่องกง จีน และไต้หวัน โดยตลาดหลักทรัพย์ที่เข้าไปลงทุน ส่วนใหญ่ ได้แก่ ตลาดฮ่องกง ตลาดเซี่ยงไฮ้ และตลาดไต้หวัน ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าดัชนี MSCI Golden Dragon

ขณะที่กองทุนปิด เกรธเธอร์ ไชน่า (GC) มีนโยบายการลงทุนในกองทุน Goldman Sachs Greater China Equity บริหำรจัดกำรโดยบริษัท Goldman Sachs Asset Management B.V. โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน โดยกองทุนหลักมีนโยบายเน้นลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ในตราสารทุน หลักทรัพย์ที่โอนสิทธิ์ได้ (Transferable securities) ซึ่งออกหรือจดทะเบียนและทำการซื้อขายในประเทศตลาดเกิดใหม่ที่กำลังเป็นที่น่าจับตามอง (Emerging countries) ซึ่งได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง และไต้หวัน

บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) มองเศรษฐกิจจีนยังคงเปราะบางและเผชิญกับความท้าทายในระยะข้างหน้าได้ต่ำสุดโดยนักวิเคราะห์ได้ปรับคาดการณ์ GDP ในปี 2023 ลดลงสู่ระดับ +5.0% จาก +5.50% ในไตรมาสที่แล้ว เช่นเดียวกันกับคาดการณ์ในปี 2567 มี่ถูกปรับลดลงจาก +4.9% สู่ระดับ 4.5%

ด้านตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงในไตรมาสที่ 3/2566 แม้ว่าตัวเลขศรษฐกิจของจีนที่ประกาศในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สะท้อนถึงการเติบโตที่มีเสถียรภาพเพิ่มมากขึ้น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต และยอดค้าปลีกสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งเกินความคาดหมาย อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญกับปัจจัยกดดันจากอุปสงค์ตลาดโลกที่ลดลงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงปัญหาภายในประเทศในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงเปราะบาง ทำให้ดัชนี CSI300 (A-Share), Hangseng Enterprise (H-Share) และ MSCI China (All Shares) ได้ปรับตัวลดลง -3.98%1, -4.30%2, และ -3.07%3 ตามลำดับ

บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) คงน้ำหนักการลงทุนในระดับ Neutral สำหรับการลงทุนในหุ้นจีน โดยแม้ว่า Valuation ปัจจุบันเทรดอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยพอสมควรแต่อย่างไรก็ดี มองว่าเศรษฐกิจจีนจะค่อยๆฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเชื่อว่าน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีนี้ไปแล้ว การใช้จ่ายด้านการเดินทางและที่พักที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุดฤดูร้อน ทำให้มีแนวโน้มเชิงบวกมากขึ้น รวมถึงนโยบายเชิงรุกของรัฐบาลในการออกพันธบัตรท้องถิ่น เพื่อเสริมสภาพคล่องและส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสนับสนุนต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังชะลอตัว อย่างไรก็ตามการส่งออกซึ่งแต่เดิมเคยเป็นตัวเร่งสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ได้หดตัวลงเนื่องจากความต้องการสินค้าจีนทั่วโลกลดลง

ทั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลและธนาคารกลางจะมีการอัดฉีดมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมต่อเนื่องในไตรมาส 4 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน รวมถึงกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ จึงทำให้ภาพรวมของการเติบโตของจีนน่าจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป

“เราแนะนำการลงทุนในหุ้นจีนที่โฟกัสไปยังกลุ่มธุรกิจที่รัฐบาลให้ความสำคัญและให้การสนับสนุนตามแผนระยะยาว เช่น กลุ่ม EV, Clean Energy, Semiconductor และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศเป็นหลัก”บลจ.ยูโอบี ระบุ