WHA โชว์งบ 9 เดือนปี’67 กำไรพุ่ง 55% Q4 รุ่งโรจน์จ่อเซ็นลูกค้าดาต้าเซ็นเตอร์

HoonSmart.com>> ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น ปิดงบ 9 เดือนปี’67 กำไรสุทธิ 3,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% ปันผลหุ้นละ 0.0669 บาท คาดไตรมาส 4 ปิดดีลรับลูกค้ากลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ย้ายฐานการผลิตมาไทย

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2567 มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 2,681 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 459 ล้านบาท โดยเป็นรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 2,913 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% และกำไรปกติ 757 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% (Y-Y) เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 9,954 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,113 ล้านบาท โดยหากพิจารณาถึงผลประกอบการปกติ บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 10,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% และกำไรปกติ 3,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% (Y-Y) จากงวดเดียวกันของปีก่อน 

ทั้งนี้ ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.0669 บาท จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยจะขึ้น XD วันที่ 21 พ.ย. และจ่ายปันผล 6 ธ.ค. 2567 พร้อมทั้งได้รับการจัดอันดับเครดิต “A-” แนวโน้ม “คงที่” จากทริสเรทติ้ง สะท้อนการเติบโตที่ยั่งยืนและการขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ WHAIR

น.ส.จรีพร จารุกรสกุล CEO ของ WHA Group กล่าวว่า ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 2567 เติบโตโดดเด่นจากการขับเคลื่อนของ 4 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ โลจิสติกส์, นิคมอุตสาหกรรม, สาธารณูปโภค และธุรกิจดิจิทัล ซึ่งสอดรับกับกระแสการย้ายฐานการลงทุนและการผลิตที่ดึงดูดการลงทุนระยะยาวจากหลายภาคอุตสาหกรรม

ธุรกิจโลจิสติกส์ เติบโตโดดเด่นใน 9 เดือนแรกปี 2567 โดยลงนามสัญญาเช่าโครงการเพิ่มเติม 84,658 ตร.ม. และสัญญาเช่าระยะสั้น 100,520 ตร.ม. ทำให้มีพื้นที่คลังสินค้ารวม 3,010,488 ตร.ม. ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์ไฟฟ้ารวม 404 ล้านบาท และ 1,123 ล้านบาท ตามลำดับ

ล่าสุด โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 เซ็นสัญญาเช่าพื้นที่ 16,000 ตร.ม. กับบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง และได้เพิ่มพื้นที่อีก 17,000 ตร.ม. ส่วนโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ บางนา-ตราด กม. 23 เซ็นสัญญาเช่าพื้นที่ 25,000 ตร.ม. และบริษัทฯยังอยู่ระหว่างเจรจาลูกค้าหลายราย และมียอดเช่าล่วงหน้าอีกกว่า 60,000 ตร.ม.

ส่วนธุรกิจให้เช่ายานยนต์ไฟฟ้า “โมบิลิกส์” (Mobilix) ซึ่งเป็นโซลูชันกรีนโลจิสติกส์ครบวงจร หลังจากเปิดให้ทดลองใช้งาน Mobilix Software Solution ได้รับความสนใจจากลูกค้าภาคธุรกิจ ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 มีลูกค้าเซ็นสัญญาเช่าซื้อยานยนต์ไฟฟ้าแล้ว 281 คัน

บริษัท ดับบลิวเอชเอ จีซี โลจิสติกส์ (WGCL) ล่าสุดได้เปิดตัวศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศที่ระยอง โดยเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GC และ WHA เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและความเป็นผู้นำในตลาดโลจิสติกส์และปิโตรเคมี.

บริษัทฯ วางแผนขายทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHAIR ในปี 2567 โดยจะจำหน่ายคลังสินค้าพื้นที่เช่ารวม 40,172 ตร.ม. มูลค่าประมาณ 1,065 ล้านบาท และคาดว่าจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/2567.

สำหรับ ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม บริษัทฯ ปรับเป้าหมายยอดขายที่ดินปี 2567 เป็น 2,500 ไร่ โดยใน 9 เดือนแรกขายที่ดินได้ 1,791 ไร่ (ไทย 1,695 ไร่, เวียดนาม 96 ไร่) และมียอดเซ็น MOU คงค้าง 904 ไร่ (ไทย 872 ไร่, เวียดนาม 31 ไร่) สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม 4,565 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% จากปีที่แล้ว ประกอบกับราคาที่ดินปรับตัวขึ้นจากกระแสการย้ายฐานการลงทุนมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ มียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ให้กับลูกค้ากว่า 1,259 ไร่ (ไทย 1,225 ไร่ / เวียดนาม 33 ไร่)

“ในไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ ลงนามสัญญาซื้อขายที่ดินกับ Google เพื่อสร้าง Data Center และ Cloud Region ในประเทศไทย และยังอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ากลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์หลายราย สะท้อนศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์”น.ส.จรีพร กล่าว

น.ส.จรีพร กล่าวว่า ณ ไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ มีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมทั้งประเทศไทยและเวียดนามทั้งหมด 78,000 ไร่ ในไทยมีนิคมฯที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 12 แห่งและยังมีโครงการขยาย/พัฒนานิคมฯ ใหม่ 6 โครงการ บนพื้นที่รวมกว่า 10,000 ไร่ ส่งผลให้ในอีก 3 ปีข้างหน้าบริษัทฯ จะมีพื้นที่นิคมฯ รวมกว่า 52,390 ไร่  

ในเวียดนาม มีพื้นที่รวม 22,815 ไร่ (3,650 เฮกตาร์) โดยมีเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน 1 – เหงะอาน เฟส 1 และ 2 รวม 3,125 ไร่ ที่เปิดดำเนินการแล้ว และเขตโซน 2 – เหงะอาน เฟส 1 ขนาด 1,181 ไร่ คาดว่าจะได้รับอนุมัติใบอนุญาตภายในปีนี้ จะขยายโครงการใหม่อีก 3 โครงการในจังหวัด Thanh Hoa และ Quang Nam รวมพื้นที่ 9,690 ไร่ (1,550 เฮกตาร์).

ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) เติบโตต่อเนื่อง โดยไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกปี 2567 รับรู้รายได้และส่วนแบ่งกำไรรวม 812 ล้านบาท และ 2,343 ล้านบาท ตามลำดับ พร้อมยอดขายน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 42.0 ล้านลูกบาศก์เมตรในไตรมาส 3 และ 125.8 ล้านลูกบาศก์เมตรใน 9 เดือนแรก

ในไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกปี 2567 ปริมาณการจำหน่ายน้ำภายในประเทศอยู่ที่ 32.5 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 99.0 ล้านลูกบาศก์เมตรตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้น้ำที่สูงขึ้น โดยยอดขายและบริหารน้ำเติบโตเกือบทุกผลิตภัณฑ์ แม้ยอดจำหน่ายน้ำดิบในไตรมาส 3 จะลดลงเล็กน้อยจากลูกค้ากลุ่มพลังงานที่มีการผลิตลดลง

ส่วนที่ประเทศเวียดนามมียอดขายเพิ่มขึ้น ในไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2567 มียอดจำหน่ายน้ำรวม 9.5 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 26.8 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการขยายพื้นที่ให้บริการของโครงการ Doung River ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายน้ำเพิ่มขึ้นทั้งจากลูกค้าเดิมและใหม่ บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไร 72 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งขาดทุน 2 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน

ธุรกิจไฟฟ้า ในไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าเท่ากับ 357 ล้านบาท และ 1,063 ล้านบาท แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ลดลงจากต้นทุนถ่านหินที่สูงและการแข็งค่าของเงินบาทที่ทำให้ค่า energy payment ลดลง

ส่วนธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ ลงนามในสัญญาโครงการ Solar Rooftop เพิ่ม 24 สัญญา กำลังการผลิตรวม 13 เมกะวัตต์ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้น 944 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็น 697 เมกะวัตต์ที่ดำเนินการแล้ว และ 247 เมกะวัตต์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา.

“บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานให้ได้สิทธิ์เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed in Tariff เฟส 1 รวม 5 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 125.4 เมกะวัตต์ ซึ่งได้มีการลงนามในสัญญาเสร็จสิ้นแล้ว 4 โครงการ จำนวน 85 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในส่วนที่เหลืออีก 1 โครงการ จำนวน 40 เมกะวัตต์ ภายในปีนี้ และกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (SCOD) ในช่วงปี 2572-2573”น.ส.จรีพร กล่าว

น.ส.จรีพร กล่าวถึงธุรกิจดิจิทัลว่า ได้วางเป้าหมายในการพัฒนาองค์กรและบุคลากรให้เป็น Technology Company ภายในปี 2567 ภายใต้ภารกิจ Mission To The Sun (MTTS) ซึ่งมุ่งเน้นการทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัล สร้างผลิตภัณฑ์และมูลค่าใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า พร้อมทั้งขับเคลื่อนองค์กรให้เป็น Tech-Driven Organization ภายในปี 2568 โดยมุ่งส่งเสริมศักยภาพของธุรกิจและสร้างรายได้จากการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่ๆ และพัฒนาความเชี่ยวชาญของทีมเทคโนโลยี

พร้อมเปิดตัว Mobilix ที่เป็นกรีนโลจิสติกส์โซลูชันแบบครบวงจรครั้งแรกของไทยที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดต้นทุนด้าน
โลจิสติกส์ไปพร้อมๆ กัน

นอกจากนี้ ยังมีโครงการ AI Transformation จำนวน 12 โครงการ ที่มุ่งเน้นการใช้ข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตัวอย่างเช่น โครงการ Solar Anomaly ที่ตรวจจับปัญหาของแผงโซลาร์เพื่อการซ่อมบำรุงที่รวดเร็ว, Solar Forecasting ที่ใช้การประเมินและคาดการณ์ปริมาณแสงแดดล่วงหน้า, และ RO System Performance Forecasting ที่ใช้ Data Analytics เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำในนิคมอุตสาหกรรมและส่งเสริมการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

ล่าสุด บริษัทฯยังได้รับรางวัลสำคัญหลายรางวัล เช่น “HR Asia: Best Companies to Work for in Asia” และ “Sustainable Workplace Awards”, รางวัล MEA ENERGY AWARDS 2024 สำหรับอาคารสำนักงาน, 7 รางวัลจากงาน Eco Innovation Forum 2024, และรางวัล Best Sustainability Awards จาก SET Awards 2024 เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน นอกจากนี้ยังได้รับการประเมิน CGR ระดับ ‘ดีเลิศ (5 ดาว)’ และอันดับเครดิตองค์กร “A-” จากทริสเรทติ้ง
นอกจากนี้ CEO คุณจรีพร จารุกรสกุล ยังได้รับรางวัล Real Estate Personality of the Year Award 2024, “CEO of the Year 2024” และ Thailand Headline Person of the Year 2024