ความจริงความคิด : เหนือกว่า แต่อย่าเลวกว่า

โดย…สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน

เคยอ่านเจอบทความหนึ่งในเพจ Kasidis Satangmongkol ที่เขียนสรุป “วิธีสร้างความได้เปรียบ เปิดประตูสู่ความสำเร็จ – The Unfair Advantage (2020) ของ Ash Ali และ Hasan Kubba” เนื้อหาน่าสนใจมากครับ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ และขออนุญาตนำบางส่วนมาเผยแพร่ต่อ ครับ

ประโยคที่อ่านแล้วชอบ ก็คือ “การทำงานหนักไม่ช่วยให้คุณสำเร็จ” เพราะความสำเร็จเกิดขึ้นจากการ Work Hard + Luck สองอย่างพร้อมๆกัน ถ้าทำงานแต่หนัก แต่โฟกัสผิดจุด อยู่ผิดที่ ผิดเวลาก็สำเร็จได้ยาก ฟังดูคุ้นๆเหมือนประโยคยอดฮิตของธุรกิจที่เป็นข่าว “ขยันผิดที่ สิบปีก็ไม่มีทางรวย” ไม่รู้ใครลอกใคร

สรุปจากบทความง่ายๆ ก็คือ จะสำเร็จก็ต้อง “เก่ง” และ “เฮง” เคยถามเศรษฐีหลายคน ระหว่าง “เก่ง” กับ “เฮง” อะไรสำคัญกว่ากัน เชื่อมั๊ยส่วนใหญ่ตอบว่า “เฮง” ครับ

คำว่า “เฮง” นี่แหละ คือ unfair advantage ซึ่งหลายครั้งผมก็แอบด่าพระเจ้าเหมือนกันว่า “ทำไมลำเอียงได้ขนาดนี้?” เอาอย่างง่ายๆ เราจะเห็นดาราบางคน หน้าตาดี ร้องเพลงเพราะ แถมรวยอีกต่างหาก เทียบกับเรา หน้าตาก็… ร้องเพลงก็ไม่เป็น แถมยังต้องปากกัดตีนถีบ เกษียณแล้วยังต้องทำงานหาเงิน แล้วอย่างนี้จะพูดว่า “พระเจ้าลำเอียงได้ยังไง”

แล้วความ “เฮง” หรือ “unfair advantage” ประกอบด้วยอะไรบ้าง

. Ash และ Hasan นำเสนอ “MILES” Framework ที่ศึกษา Unfair Advantage ของ Startups, Founders และผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกว่าเค้าทำกันได้ยังไง
MILES คือตัวอักษรย่อของ 5 Unfair Advantages ประกอบด้วย

1. Money เงิน ทรัพย์สิน ฐานะครอบครัว
2. Intelligence and Insight ความคิด ความอ่าน รู้บางอย่างที่คนอื่นไม่รู้
3. Location and Luck อยู่ถูกที่ ถูกเวลา
4. Education and Expertise การศึกษา การฝึกฝน ความเชี่ยวชาญ
5. Status หรือ Personal Brand คนอื่นมองเห็นเรายังไง หรือฐานะทางสังคม ตัวอย่างเช่น ดารา ทนาย หมอ กูรู ฯลฯ

ยิ่งเรามีปัจจัยเหล่านี้มากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสสำเร็จยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเด็กคนหนึ่งเกิดในครอบครัวที่มีฐานะ [Money] อยู่ในประเทศพัฒนาแล้ว [Location] แถมตั้งใจเรียนอีก สอบเข้า U Top ระดับโลก จบเกียรตินิยม [Intelligence] โอกาสสำเร็จก็มากกว่าคนอื่นแล้ว

ใน MILES ทั้ง 5 ตัว หลายตัวเราไม่สามารถเลือกได้ ตัวอย่างเช่น เราเลือกเกิดในตระกูลคนรวยไม่ได้ เราเลือกเกิดในประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ได้ ฯลฯ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ เพราะเราสามารถสร้าง unfair advantage ขึ้นมาเองก็ได้

อย่างเช่น เลือกเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาชั้นนำ เลือกศึกษาหาความรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจซึงในปัจจุบันมีช่องทางในการหาความรู้มากมาย และค่าใช้จ่ายต่ำ หรือ ฟรีด้วยซ้ำ หรือ เลือกสร้างฐานะทางสังคม

จากตัวอย่างที่เห็นชัดในสังคมไทยวันนี้ ก็เช่น อาชีพทนาย เรามักจะเห็นทนายหลายคนพยายามออกสื่อเพื่อสร้างตัวตนในสังคม บางคนก็ประสบความสำเร็จมีความน่าเชื่อถือ ทำให้มีรายได้ที่ดี

อีกอาชีพที่เกิดขึ้นการสร้างตัวตนในสังคม อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คือ บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้หรือบริโภคสินค้าของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมักถูกเรียกว่ากลุ่มผู้ติดตาม (Follower) ซึ่งให้ความสนใจติดตามอินฟลูเอนเซอร์ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น ความมีชื่อเสียง ความรู้ ความสามารถ ตำแหน่งหน้าที่หรือความสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นๆ ระหว่างตัวอินฟลูเอนเซอร์กับกลุ่มผู้ติดตาม เป็นต้น

ในปัจจุบันอินฟลูเอนเซอร์มักเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่ในสังคมออนไลน์ เนื่องจากสามารถสื่อสารข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และสะดวกต่อการขยายฐานผู้ติดตาม เราจึงเห็นอินฟลูเอนเซอร์อยู่ในแทบทุกอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น ดารา ทนาย หมอดู ฯลฯ

การมี Unfair advantage ทำให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น แต่ unfair advantage นั้น ก็ควรมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วย เหมือนอย่างประโยคทองในหนังเรือง “Spiderman” ที่ลุงเบ็นพูดกับปีเตอร์ตอนกำลังจะตาย ว่า “อำนาจที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง”

หากเราใช้ unfair advantage ในทางที่ผิด หรือ พูดแบบชาวบ้าน ก็คือ “เก่งแต่เลว” ความเสียหายก็สามารถเกิดได้มาก อย่างเช่น ข่าวที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้

ในตลาดหุ้น เราก็มีการสนับสนุนธุรกิจ ESG เพื่อสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมเช่นกัน ESG คือ ธุรกิจที่ไม่ได้หวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่คำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG)

“E” Environmental สิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดการการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้คุ้มค่าที่สุดและทำให้ผลเสียจากการดำเนินธุรกิจส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งอาจประเมินได้จากการใช้ตัวชี้วัดในด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสร้างของเสีย การปล่อยมลพิษ การลดการใช้กระดาษ การลดพลังงานไฟฟ้า การรีไซเคิล การประหยัดพลังงาน เป็นต้น

“S” Social สังคม หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งภายในและภายนอก ได้แก่ พนักงาน ลูกค้า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ชุมชนท้องถิ่น และผู้ทำงานในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เพราะธุรกิจที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้มีส่วนที่เกี่ยวข้องย่อมมีแนวโน้มที่การดำเนินงานของธุรกิจจะเป็นไปอย่างราบรื่น รวมทั้งได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าของธุรกิจ ซึ่งตัวชี้วัดด้านสังคมอาจประเมินได้จากความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงาน ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม การให้ความสำคัญกับหลักสิทธิมนุษยชน การให้ความสำคัญกับแรงงาน สร้างความเท่าเทียมให้กับคนทุกกลุ่ม เช่น การให้โอกาสผู้พิการได้ทำงาน ความปลอดภัยและสุขภาพของพนักงาน เป็นต้น

“G” Governance บรรษัทภิบาล เป็นประเด็นของความโปร่งใสในการดำเนินงานของธุรกิจ รวมไปถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริตและการตรวจสอบเพื่อผลประโยชน์ที่เป็นธรรมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของธุรกิจทั้งหมด ซึ่งอาจประเมินได้จากความโปร่งใสในการดำเนินงาน วัฒนธรรมองค์กร กฎ ระเบียบ สัดส่วน และนโยบายในการแบ่งผลตอบแทน การจัดการด้านภาษี ฯลฯ โดยทุกขั้นตอนการดำเนินงานต้องโปร่งใส ยุติธรรม และตรวจสอบได้ เป็นต้น

แต่ในฐานะบุคคลธรรมดา นอกจากสนับสนุนให้มี unfair advantage แล้ว ก็ควรสนับสนุนให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมเช่นกัน
 
 
———————————————————————————————————————————————————–