“ทรีนีตี้”เล็งเจอจุดต่ำสุดในไตรมาส 4 ก่อนทยอยขึ้น

HoonSmart.com>>“ทรีนีตี้” ประเมินไตรมาส 4/66 ตลาดหุ้นจะเจอจุดต่ำสุดชั่วคราวในช่วงแรก หลังจากนั้นจะทยอยปรับตัว Sideways up ขึ้นได้ แนะใช้จังหวะดัชนีหุ้นต่ำกว่า 1,500 เข้าซื้อ หุ้น 2 กลุ่มใหญ่ที่อิงมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และหุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลกที่ยังแกร่ง คาดเห็นดัชนีหุ้นทั่วโลกจะมีการปรับตัว Relief rally ขึ้นได้ช่วง 1-3 เดือนหลังเฟดประชุมนัดสุดท้ายของปีช่วงปลาย ต.ค. เต็มที่ขยับดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ส่วน กนง.จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนไตรมาส 4 ว่า ประเมินเป็นไตรมาสที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเจอจุดต่ำสุดชั่วคราวในช่วงแรก หลังจากนั้นจะทยอยปรับตัว Sideways up ขึ้นได้ โดยมีปัจจัยหนุนหลัก 4 ปัจจัยได้แก่ 1.การสิ้นสุดรอบการปรับลดประมาณการของบริษัทจดทะเบียนไทย และอาจมีความเป็นไปได้ในการปรับประมาณการเพิ่มในกลุ่ม Oil & Gas, กลุ่มอิงกับการบริโภคภายในประเทศ กลุ่มส่งออก และกลุ่มท่องเที่ยว 2.การยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของไทยไว้ที่ระดับ 2.50% ซึ่งในอดีตแล้ว มักนำมาสู่การปรับตัวที่ดีของ SET Index หลังจากนั้น 3.เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 เป็นต้นไป จากแรงส่งทางด้านการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งน่าจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติปรับตัวดีขึ้น และ 4.เศรษฐกิจโลกที่แนวโน้มทั่วไปยังคงดีอยู่ และเราค่อนข้างมั่นใจว่าในไตรมาสที่ 4 นี้ จะยังไม่มีสัญญาณความเสี่ยงใดๆเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยออกมา

ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสที่จะปรับตัว Bottom out ได้ในช่วงปลายเดือนตุลาคมต่อเนื่องเดือนพฤศจิกายน จากการเข้าใกล้การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่ง ณ ขณะนั้น ตลาดน่าจะมีการ Price in ประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยในระดับสูงแล้ว หรือหากยัง Price in ไม่หมด ก็คาดว่าในที่ประชุมเฟดรอบนี้ จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งสุดท้ายของวงจรนี้ได้ หากเป็นไปตามที่คาด ประเมินว่าดัชนีหุ้นทั่วโลกจะมีการปรับตัว Relief rally ขึ้นได้หลังจากนั้นราว 1-3 เดือน ด้านความเสี่ยงที่จำเป็นต้องติดตามในช่วงถัดไปก็คือแรงกดดันเงินเฟ้อที่อาจพุ่งขึ้นเกินกรอบเป้าหมายของธนาคารกลางหลายแห่ง หากราคาโภคภัณฑ์ในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นคล้ายกับตอนช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครนเมื่อปีก่อน หากเกิดขึ้น อาจทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกหันกลับมาใช้การขึ้นดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการสกัดกั้นเงินเฟ้ออีกครั้ง ซึ่งก็จะเป็นแรงกดดันต่อภาพของตลาดหุ้นอีกครั้งหนึ่งได้

ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำให้นักลงทุนใช้จังหวะที่ SET Index กำลังซื้อขายอยู่บริเวณต่ำกว่า 1,500 จุดในการทยอยเข้าสะสมหุ้นได้ เนื่องจากเป็นระดับที่ Valuation เริ่มมี Upside จากระดับดัชนีเป้าหมายของเราในกรณีดีสุดที่ 1,515 จุด และหากยิ่งดัชนีลงลึกไปใกล้ระดับ 1,470 จุด มองเป็นโซนในการเข้าซื้อที่น่าสนใจมาก เนื่องจากจะเทียบเท่าเท่ากับระดับ PBV ที่ 1.4 เท่า  ซึ่งในอดีตแล้ว มักเป็นระดับที่ SET มีเสถียรภาพในทุกๆครั้งที่ดัชนีมีการปรับตัวลง

นายณัฐชาต กล่าวว่า ทรีนีตี้แบ่งกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำไตรมาส 4 ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1.กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ทั้ง Consumer staple และ Grassroot consumption อาทิ CPALL, CPAXT, BJC, CRC, HMPRO, GLOBAL, DOHOME, TNP, MENA 2.กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังคงแข็งแกร่ง ภาคการผลิตทั่วโลกที่ฟื้นตัว ภาวะ De-stocking ที่ผ่อนคลายลงและเริ่มกลับกลายเป็น Re-stocking เลือกกลุ่มส่งออก อาทิ KCE, HANA, AAI, ITC, CPF, BTG, GFPT, TU รวมถึงกลุ่มเดินเรือและ Logistics ที่ได้ประโยชน์จากปริมาณการค้าขายและการขนส่งทั่วโลกที่กลับมาคึกคักมากขึ้น อาทิ PSL, RCL, III, LEO, SJWD, WICE