โบรกฯฟันธงหุ้น Q4 สดใส เล็งเป้า1,600 เชียร์ 21 หุ้นเด่น

HoonSmart.com>>3 โบรกเกอร์ฟันธงหุ้นโค้งสุดท้ายฉลุย ให้เป้าสูงสุด 1,650 จุด ส่วนด้านล่าง 1,450 จุด หลังจาก 9 เดือนปีนี้  SET ดิ่งลงแรงถึง -11.82% Valuation ถูก งบไตรมาส 3 กำไรดีทั่วหน้า ลุ้นเคลียร์แหล่งที่มาเงินดิจิทัลวอลเล็ตชัดแจ๋ว ชูหุ้นเด่น PTT,PTTEP, TOP, BCP, BANPU,BBL, KTB , KBANK,CPALL, CRC, ADVANC, BH, BDMS, BCH, EKH,  ADVANC, AOT, MINT,AAV, ERW ,AMATA 

 

หุ้นวันสุดท้ายของไตรมาสที่ 3/2566 (29 ก.ย.) ตลาดต่างประเทศรีบาวด์ เอเชียนำโดยฮ่องกงพุ่งแรง +2.51%  แต่หุ้นไทยกลับร่วงลง -0.72% เพราะเจอถล่มขายหุ้น DELTA  ที่มีมาร์เก็ตแคปสูงสุดของหุ้นไทย ไล่ทุบราคาดิ่งถึง-20.43% ปิดที่ 82.75 บาท หากไม่รวม DELTA ก็รีบาวด์เช่นเดียวกัน ทำให้ภาพรวมทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา (25-29 ก.ย.) รูดลง -3.36% ดัชนี SET ปิดที่ 1,471.43 จุด ระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน  ฉุดเดือนก.ย.ลดลง 94.51 จุด หรือ -6.04% จาก ส.ค.ที่ผ่านมา

ส่วนไตรมาสที่ 3/2566 ดัชนีไหลลง 31.67 จุดหรือ -2.10% รวม 9 เดือน ร่วงหนักถึง -11.82% เกิดจากนักลงทุนต่างชาติทิ้งหนัก 157,170.50 ล้านบาท เพราะปี 2565 ที่ผ่านมาไล่ซื้อ 1.9 แสนล้านบาท หนุนหุ้นไทยบวก 11 จุดสวนทางตลาดหุ้นโลกที่แดงเถือก ปีนี้ตลาดเอเชียฟื้น  โดยเฉพาะสหรัฐดีขึ้นมาก ส่วนยุโรปไตรมาส 3 แย่สุดที่รอบปี ติดลบ 2.9%

สำหรับตลาดโค้งสุดท้ายของปี 2566 นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า มองไปในทางบวกมากขึ้น เนื่องจาก Valuation ตลาดถูกจากที่เทรดดัชนีฯแถว 1,600 จุด ตอนนี้ลงมาต่ำกว่าระดับ 1,500 จุด ซึ่งเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้มองที่ 1,650 จุดเป็น upside สูงสุด ขณะที่ด้านล่างมอง 1,460-1,450 จุด

นอกจากนี้ ตลาดยังได้มีแรงหนุนจากผลประกอบการไตรมาส 3/66 ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)อยู่ในเกณฑ์ที่ดีด้วย  เช่น กลุ่มพลังงาน ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันขึ้น ทำให้มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน และกำไรจากการดำเนินงานสูงขึ้น ส่วนกลุ่มธนาคารก็ได้กำไรดีจากการขึ้นดอกเบี้ย สำหรับกลุ่ม Real Sector เทียบกับปีที่แล้วฐานกำไรต่ำ กำไรไตรมาส 3/66 ออกมาดูดี รวมทั้งกลุ่มท่องเที่ยวก็เข้าสู่ช่วง High Season และมีฟรีวีซ่าหนุนด้วย ไตรมาส 4  จะให้น้ำหนักสูงกับกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวและการบริโภคฟื้น ปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะถึง 28-29 ล้านคน และปี 2567 คาดว่าจะมี 40 ล้านคน  หุ้นด่านหน้าที่จะประโยชน์ก่อน คือบริษัท ท่าอากาศยานไทย (AOT)  ตามด้วยกลุ่มธุรกิจโรงแรม แนะนำหุ้นบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์แนชั่นแนล (MINT)

พร้อมแนะนำหุ้นเด่น ได้แก่ หุ้นในกลุ่มพลังงาน เป็นหุ้น PTTEP ราคาเป้าหมาย 179 บาท, TOP ราคาเป้าหมาย 69 บาท, BCP ราคาเป้าหมาย 43 บาท กลุ่มธนาคารที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น แนะนำหุ้น BBL ราคาเป้าหมาย 197 บาท, KTB ราคาเป้าหมาย 23.3 บาท กลุ่มค้าปลีกแนะนำหุ้น CPALL ราคาเป้าหมาย 72 บาท, CRC ราคาเป้าหมาย 54 บาท กลุ่มสื่อสารแนะนำหุ้น ADVANC ราคาเป้าหมาย 250 บาท เนื่องจากใกล้ปิดดีล TTTB และคาดกำไรไตรมาส 3 ออกมาดี กลุ่มการแพทย์เป็น Defensive ที่ไม่ผันแปรตามเศรษฐกิจ และผลงานไตรมาส 3 จะออกมาดีเพราะเป็นช่วง High Season จึงแนะนำหุ้น BH ราคาเป้าหมาย 270 บาท, BDMS ราคาเป้าหมาย 34 บาท, BCH ราคาเป้าหมาย 22 บาท และ EKH ราคาเป้าหมาย 10 บาท กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม แนะนำหุ้น บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น (AMATA) ซึ่งได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต โดยปีนี้ทำยอดขายได้สูงสุดในรอบ 10 ปี

อย่างไรก็ดี ยังต้องรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินที่จะมาใช้ในดิจิทัลวอลเล็ตมากกว่า 5 แสนล้านบาท  ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังขายหุ้นอยู่ จากความกังวลจะเสียวินัยการเงินการคลัง หากเลือกใช้เงินจากธนาคารของรัฐ แต่นโยบายนี้จะหนุนให้เศรษฐกิจไทยปี 2567 เติบโต สำหรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หรือคงดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนาน มองว่าจะไม่มีผลต่อตลาดเท่าไรแล้ว

น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (DBSV) กล่าวว่า  ดัชนี SET ไปต่อได้หลังจากหลุดแนวรับที่ 1,500 จุดลงมาอยู่ที่ 1,450 จุด เพราะรัฐบาลเริ่มทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาให้เห็นชัดมากขึ้น โดยการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตคนละ 10,000 บาท จะทำให้เกิดการใช้จ่ายและมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างน้อย 6 เดือน รวมถึงไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้ามาในช่วงโกลเด้น วีค วันหยุดยาวประจำปี จะเข้ามาจำนวนมาก ประกอบกับยังมีรายการรายได้พิเศษจากหุ้นน้ำมันจากการที่ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นถึง 25%

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากหุ้น DELTA  ซึ่งมีน้ำหนักต่อ SET Index สูง คือ ลง 1 บาท กระทบ SET Index 1 จุด และรอดูว่าผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะไปพบกับนายกรัฐมนตรีในวันจันทร์ที่ 2 ต.ค.ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ถ้าไม่หลุด 1,450 จุด และด้วยคนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นกับมาตรการของรัฐ  จึงยังคงเป้าหมาย Best Case ที่ 1,650 จุด

“นักลงทุนต่างชาติยังคงรอดูผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีความชัดเจนมากกว่านี้ โดยยังคงจับตาเม็ดเงินวอลเล็ตดิจิทัลที่แจกประชาชนถึง 5.6 แสนล้านบาทจะหมุนได้กี่รอบในปี 2567 กรณีที่หมุนได้ 1 รอบจะมีผลต่อการเติบโต  3% รวมกับการเติบโตปกติที่คาดไว้ 3% จะเป็น 6% เมื่อหักเงินเฟ้อออก 1.8% จะให้เศรษฐกิจปี 2567 โตประมาณ 4.2% หากเงินก้อนนี้ไม่หมุนต่อเศรษฐกิจก็โตได้แค่นี้ ตลาดหุ้นไทยก็ยังไม่ดึงดูด”

ขณะเดียวกัน รอดูการเข้ามาของนักท่องเที่ยว ไทยจะได้ประโยชน์เพียงใด เพราะการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวลดลงมากเหลือประมาณ 3-4 หมื่นบาทต่อคน จากช่วงก่อนโควิด-19 มีการใช้จ่ายต่อหัว 6-7 หมื่นบาทต่อคน และนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้ามามากนั้น ไทยจะได้ประโยชน์มากแค่ไหน เพราะปัจจุบันคนจีนเข้ามาทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องครอบคลุมร้านอาหาร ที่พัก รถนำเที่ยว แล้วจะเหลือสุทธิให้ไทยเท่าไหร่ นอกจากนี้ ยังรอดูว่าปี 2567 จะมีการขึ้นค่าแรงวันละ 400 บาทตามนโยบายหาเสียง ธุรกิจโดยรวมจะอยู่ได้ไหม

“ปีนี้นักลงทุนต่างชาติขายออกไปแล้ว 1.6 แสนล้านบาท จากปีก่อนหน้าที่ซื้อ 1.9 แสนล้านบาท และดูจะยังมีทีท่าขายอยู่ เพราะรอดูความชัดเจนเรื่องเหล่านี้”น.ส.อาภาภรณ์ กล่าว

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)  กล่าวว่า หุ้นช่วงไตรมาส 4 คาดว่าจะปรับตัวขึ้น จากสถิติมักปรับขึ้นในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย. ซึ่งมองกรอบด้านบนไว้ที่ 1,580-1,600 จุด ส่วนด้านล่าง 1,475 จุด อีกทั้งยังเป็นช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ด้วย ซึ่งหลายกลุ่มคาดว่าจะออกมาดี ทั้งกลุ่มพลังงาน, ธนาคาร, ท่องเที่ยว, ค้าปลีก และสื่อสาร อีกทั้งคาดว่าจะได้มีความชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงินที่มาใช้ในวอลเล็ตดิจิทัล และงบประมาณปี 2567 ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ปัจจัยลบตลาดยังมีในเรื่องความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐ เนื่องจากไต้หวันจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 13 ม.ค.2567 พร้อมแนะนำหุ้นเด่นให้เล่นเก็งกำไรหุ้นที่มีผลประกอบการออกมาดี แนะนำหุ้น KBANK, CPALL, BANPU, ADVANC, AOT

นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ไตรมาส 4 ตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวหลังปรับตัวลงไปมาก มองกรอบแนวรับ 1,450 จุด แนวต้าน 1,550 จุด โดยน่าจะได้รับแรงหนุนจากกำไรไตรมาส 3 จะออกมาดี เช่นกลุ่มธนาคารคาดว่ากำไรจะปรับขึ้นราว 5-10% ส่วนกลุ่มพลังงานน่าจะเห็นกำไรดีกว่าไตรมาส 2

นอกจากนี้ ทิศทางดอกเบี้ยของเฟดคงจะไม่ปรับขึ้นแล้วในปีนี้  ส่วนคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง.) ก็มีสัญญาณออกมาจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยแล้วในปีนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดยังขาดปัจจัยบวกหนุนจะมีก็แค่ Valuation ที่ถูก นอกจากนี้จะต้องจับตาเรทติ้ง Outlook ประเทศมีโอกาสที่จะถูกปรับลง จาก Neutral (เป็นกลาง)  เป็น Negative (ลบ)  ผลจากวินัยการเงินการคลัง รวมทั้งให้ติดตามตัวเลขภาคแรงงานของสหรัฐอย่างใกล้ชิด

สำหรับหุ้นเด่นในไตรมาส 4  แนะนำหุ้น AAV, ERW (ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท) และหุ้น PTT (ราคาเป้าหมาย 41 บาท) เป็นหุ้นที่มี Valuation ถูก