HoonSmart.com>> “ปูนซิเมนต์ไทย” (SCC) เปิดงบไตรมาส 3/67 กำไรสุทธิ 721 ล้านบาท วูบลง 70% เหตุบุ๊กขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ-รับผลกระทบเงินบาทแข็งค่า-ส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมลดลง ด้านรายได้จากการขาย 128,199 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% ส่วนงวด 9 เดือน ปี 67 กำไร 6,854 ล้านบาท ลดลง 75%
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือเอสซีจี เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 721.29 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.60 บาท ลดลง 70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 2,441.37 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.03 บาท
ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2567 กำไรสุทธิ 6,854.07 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 5.71 บาท ลดลง 75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 27,049.34 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 22.54 บาท
บริษัทฯ ชี้แจงไตรมาส 3/2567 มีรายได้จากการขาย 128,199 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) และเอสซีจีพีและมีกำไรสุทธิลดลง 70% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรับรู้ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือและได้รับผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่า ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลง
ส่วนผลการดดำเนินงานในช่วง 9 เดือนของปี 2567 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 380,660 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์(เอสซีจีซี) และเอสซีจีพี ในขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้างมียอดขายลดลงและมีกำไรสำหรับงวดลดลง 75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในปี 2566 และเอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) มีผลการดำเนินงานลดลง จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายของโรงงานปิโตรเคมีที่เวียดนาม ประกอบกับส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 เอสซีจีมีสินทรัพย์รวม 867,046 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2566 จำนวน 26,555 ล้านบาท
นอกจากนี้ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมด จะดำเนินโครงการเพิ่มวัตถุดิบการผลิตเพื่อรองรับก๊าซอีเทน ด้วยงบประมาณลงทุนรวมประมาณ 700 ล้านดอลลาห์สหรัฐ (หรือประมาณ 23,000 ล้านบาท) โดย LSP อยู่ระหว่างดำเนินการขอใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐของประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ ในเบื้องต้น LSP จะพิจารณาใช้แหล่งเงินทุนภายใน SCC และคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2570
โครงการดังกล่าวจะช่วยทำให้ LSP สามารถรับวัตถุดิบก๊าซอีเทนจากสหรัฐอเมริกาและช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของโรงงาน LSP อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลงและเพิ่มความยืดหยุ่นในการรับวัตถุดิบในการผลิตมากขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย กระบวนการผลิตโอเลฟิ นส์ของ LSP ได้รับการออกแบบให้มีความยืดหยุ่นเพื่อรับวัตถุดิบประเภทก๊าซได้ ดังนั้น งบประมาณลงทุนส่วนใหญ่ของโครงการ จะนำไปใช้สำหรับการสร้างระบบการจัดการและถังเก็บรักษาวัตถุดิบก๊าซอีเทน ซึ่งต้องอยู่ภายใต้อุณหภูมิต่ำประมาณ -90 องศาเซลเซียส เมื่อโครงการแล้วเสร็จ โรงงาน LSP จะสามารถรับก๊าซอีเทนได้มากถึงสองในสามส่วนของปริมาณวัตถุดิบทั้งหมด
ส่วนที่เหลือจะเป็นก๊าซโพรเพนและแนฟทา LSP มีมูลค่าการลงทุน 5.2 พันล้านดอลลาห์สหรัฐ (หรือประมาณ 170,000 ล้านบาท) โดยหลังจากการทดสอบการเดินเครื่องจักรขั้นสุดท้าย โรงงาน LSP ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์(COD) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ทั้งนี้เนื่องด้วยช่วงวัฏจักรขาลงของธุรกิจปิโตรเคมีและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน LSP จะติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อพิจารณาการเดินโรงงานที่เหมาะสม
———————————————————————————————————————————————