PTTGC ชู “เอ็นวิคโค” สำเร็จ มีคาร์บอนเครดิต ผ่านการรับรองTGO

HoonSmart.com>”พีทีที โกลบอล เคมิคอล”(PTTGC) เผยบริษัทในกลุ่ม “เอ็นวิคโค”ก้าวอีกขั้นสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำเป็นโครงการแรกในไทย ที่ได้รับการรับรอง”คาร์บอนเครดิต”จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ผ่านโครงการคัดแยกและนำกลับคืนพลาสติกจากขยะ นำคาร์บอนเครดิตไปต่อยอดหนุนปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง (Carbon Offset) หรือชดเชยกับปริมาณทั้งหมดที่ปล่อยออกจากกิจกรรมเท่ากับศูนย์ (Carbon Neutrality)

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทในกลุ่ม คือ เอ็นวิคโค  (ENVICCO) ได้รับการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนเครดิต) ในครั้งแรกเท่ากับ 18,254 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ผ่านโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Standard Thailand Voluntary Emission Reduction Program: Standard T-VER) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ภายใต้ชื่อ “โครงการคัดแยกและนำกลับคืนพลาสติกจากขยะ เพื่อผลิตเป็นเม็ดพลาสติกโดยบริษัท เอ็นวิคโค  (Plastic waste sorting and recovery from solid waste to plastic resin by ENVICCO Co., Ltd.)” ซึ่งเป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตจากกิจกรรมโครงการประเภทการจัดการขยะมูลฝอยที่ใช้ระเบียบวิธีลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ สำหรับการคัดแยกและนำกลับคืนพลาสติกจากขยะ

นายณัฐนันท์ ศิริรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นวิคโค  เปิดเผยว่า การได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตจาก TGO ในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของเอ็นวิคโค ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการรีไซเคิลพลาสติกใช้แล้วในประเทศไทย โดยคาร์บอนเครดิตที่ได้จากโครงการฯ สามารถนำไปใช้ในกิจกรรมชดเชยการปล่อยคาร์บอน อาทิ องค์กร ผลิตภัณฑ์ การจัดประชุมงานอิเวนต์ หรือบุคคล เพื่อสนับสนุนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง (Carbon Offset) หรือ นำมาชดเชยกับปริมาณทั้งหมดที่ปล่อยออกจากกิจกรรม เพื่อทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับศูนย์ (Carbon Neutrality)

“เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อดำเนินงานตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงการจัดการพลาสติกใช้แล้วอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ลดการรั่วไหลลงสู่มหาสมุทรและฝังกลบของพลาสติกใช้แล้วให้น้อยที่สุด เราเชื่อว่าความสำเร็จนี้จะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ธุรกิจคาร์บอนต่ำของเราในอนาคต”นายณัฐนันท์กล่าว

สำหรับเอ็นวิคโค เริ่มดำเนินการจัดทำข้อมูลปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโครงการคัดแยกและนำกลับคืนพลาสติกจากขยะ เพื่อผลิตเป็นเม็ดพลาสติก ในพื้นที่โรงงานที่ตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมเอเซีย จังหวัดระยอง โดยโครงการฯ ใช้ขยะพลาสติกที่เกิดขึ้นจากการบริโภคภายในประเทศไทยเป็นวัตถุดิบ ผ่านกระบวนการคัดแยก ทำความสะอาด และการผลิตด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่มีมาตรฐานระดับสากล เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จนได้ผลิตภัณฑ์เป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง สามารถใช้งานได้หลากหลาย โดยเฉพาะการนำกลับไปใช้ทดแทนพลาสติกตั้งต้นในกลุ่มสินค้าเดิม

เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงที่ผลิตโดยเอ็นวิคโค ผลิตจากพลาสติกใช้แล้ว 100% ในประเทศไทย ไม่เพียงแต่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังได้รับการขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint Product: CFP) โดยมีค่า CFP ต่ำกว่า CFP ของเม็ดพลาสติกดั้งเดิมถึง 60% สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลก

นอกจากนี้ ด้วยกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่สูงถึง 45,000 ตันต่อปี เอ็นวิคโคยังตั้งเป้าหมายสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำและสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนในการใช้พลาสติกใช้แล้วกว่า 430,000 ตันในระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 7 ปี (2566-2572) ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 574,700 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

การได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตจาก TGO ในครั้งนี้ ตอกย้ำถึงการเป็นผู้นำในธุรกิจ รีไซเคิลพลาสติกใช้แล้วของเอ็นวิคโค โดยเป็นกำลังสำคัญของธุรกิจรีไซเคิลพลาสติกให้กับ GC Group ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainable Products) มุ่งเน้น การสร้างระบบหมุนเวียนของผลิตภัณฑ์อย่างครบวงจร (Circularity) ตลอดจนสร้างการตระหนักรู้ด้านการจัดการพลาสติกใช้แล้ว (Plastic Waste Management) ร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วน ผ่าน GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์มบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้ว เพื่อส่งเสริมการนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจด้วย กลยุทธ์ที่คำนึงถึงความยั่งยืน หมุนเวียนพลาสติกใช้แล้วให้มาสร้างประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งหวังที่จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในอุตสาหกรรมรีไซเคิลเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม