HoonSmart.com>>ธุรกิจประกันวินาศภัยคาดผลโหวตแผนฟื้นฟูกิจการ “สินมั่นคงประกันภัย”(SMK) 27 ก.ย.นี้ “ผ่าน” เหตุเป็นแนวทางที่ทุกฝ่ายได้รับการเยียวยา เกิดความเสียหายน้อยสุด กรณี”ไม่ผ่าน”มีแต่เสียกับเสีย เผยผลโหวตล่วงหน้า เจ้าหนี้โควิดจำนวนมากไม่รับเงินชดใช้ค่าสินไหม 15% หรือ 15,000 บาท จับตาทางออกของบริษัท
ในวันที่ 27 ก.ย.2566นี้ เจ้าหนี้บริษัทสินมั่นคงประกันภัย (SMK) จะมีการลงมติ (โหวต) แผนฟื้นฟูกิจการว่าจะยอมรับแผนการชำระหนี้ตามที่บริษัทเสนอ หรือไม่ยอมรับ
ทั้งนี้ ผู้บริหารระดับสูงในธุรกิจประกันวินาศภัย ทั้งจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) บริษัทประกันวินาศภัย บริษัทสินมั่นคงประกันภัย และเจ้าหนี้บางส่วน มองไปในทางบวกว่าจะ “ผ่าน” คือ เจ้าหนี้จะยอมรับข้อเสนอการชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูฯ เพราะเป็นแนวทางที่ทุกฝ่ายได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว
“น่าจะผ่าน เพราะทางบริษัทได้ทำความเข้าใจกับเจ้าหนี้แล้วถึงผลได้ผลเสียที่จะเกิดขึ้น ซึ่งการโหวตจะนับที่เสียงส่วนใหญ่ มีทั้งให้ส่งผลโหวตล่วงหน้า ทั้งทางออนไลน์ และจดหมาย ไปที่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์โดยตรง หากโหวตผ่าน คนที่จะได้รับค่าสินไหม 1 แสนบาท จะได้รับการชดใช้ 1.5 หมื่นบาท ประกอบกับปัจจุบันสถานการณ์โควิดไม่ได้ระบาดรุนแรง และการโหวตผ่านเป็นแนวทางที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ทั้งเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และธุรกิจโดยรวม “แหล่งข่าวจาก คปภ. ระบุ
แหล่งข่าวจากสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า ในวงการประกันมองว่าผลโหวตจะ “ผ่าน” เช่นเดียวกัน เพราะเงินที่จ่ายซื้อประกัน 399-460 บาท การยอมรับแผนฟื้นฟูลูกหนี้จะได้รับการชดใช้มากกว่าเบี้ยประกันหลายเท่า
กรณีโหวต “ไม่ผ่าน” ทุกอย่างก็หยุด บริษัทไม่สามารถดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ ทางคปภ. จะมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาต และบริษัทฯ ต้องหยุดดำเนินธุรกิจ เจ้าหนี้ ก็ต้องไปรอกองทุนประกันวินาศภัยดำเนินการชำระหนี้ ที่ต้องใช้เวลานานร่วม 10 ปี ไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย
แหล่งข่าวจากบริษัทสินมั่นคงประกันภัย คาดว่า เจ้าหนี้น่าจะ”ผ่าน”แผนฟื้นฟูกิจการตามที่บริษัทเสนอ เพราะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ซึ่งในแผนได้ใช้หลักการให้เกิดผลชนะด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ ภายใต้ความเข้าใจที่ถูกต้องระหว่างกันด้วยเหตุ ด้วยผล และข้อเท็จจริง
กรณี ไม่ผ่าน เนื่องจากเจ้าหนี้โควิดมีจำนวนหลายแสนราย ความคุ้มครองสูงสุดคือ 100,000 บาท และจำนวนหนี้รวม 30,000 ล้านบาท บริษัทฯ จะไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตในที่สุด และเจ้าหนี้ต้องไปเรียกร้องต่อที่กองทุนประกันวินาศภัยซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีกว่าทุกรายจะได้รับชำระหนี้
สำหรับ เจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีจำนวน 295,320 ราย เป็นภาระหนี้ที่เจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้ 29,273.52 ล้านบาท โดยแบ่งเจ้าหนี้เป็น 18 กลุ่ม เจ้าหนี้โควิดจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ 2 (เจ้าหนี้ค่าสินไหมโควิด เจอจ่ายจบ และ 2 in 1 ที่ยังไม่ได้รับการชำระ) และกลุ่มที่ 3 (เจ้าหนี้ค่าสินไหมโควิดเจอจ่ายจบ และ 2 in 1 ที่ได้รับการชำระแล้วบางส่วน) โดยจะจ่ายเป็นเงินสด 15% ของหนี้เงินต้นพร้อมกันภายใน 45 วัน นับจากวันที่ได้รับเงินจากผู้ลงทุน และชำระหนี้ด้วยหุ้นบุริมสิทธิ 85% ของหนี้เงินต้นส่วนที่เหลือ ภายใน 60 วัน นับจากวันที่ได้รับเงินจากผู้ลงทุนรายใหม่ โดยให้จัดสรรให้แล้วเสร็จภายใน 120 วันนับจากวันที่บริษัทฯ ได้รับเงินจากการชนะคดีปกครองดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่เกินจำนวน 1,000 บาท ต่อ 1 หุ้นบุริมสิทธิ
แหล่งข่าวจากวงการประกัน กล่าวว่า จากการเปิดให้ลงคะแนนเสียงล่วงหน้า มีเจ้าหนี้โควิดจำนวนมาก ไม่รับแผนฟื้นฟู กรณีรับการชดใช้ 15% ส่วนที่เหลือ 85% มีการแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งจะต้องติดตามผลการโหวตทั้งหมด ทั้งนี้ตามขั้นตอนกฎหมาย หากมติส่วนใหญ่ ไม่รับแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทจะต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ชำระบัญชี ยกเว้นว่าวันนั้นจะมีเจ้าหนี้รายใดขอแก้ไขแผน เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์สามารถพิจารณาสั่งเลื่อนการโหวตครั้งต่อไปได้ เพื่อให้บริษัทมีเวลาในการแก้ไขแผนอีกครั้งหนึ่ง
ด้านฐานะทางการเงิน ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2566 บริษัทฯมีรายได้รวม 1,470.50 ล้านบาท ลดลง 683.52 ล้านบาท หรือลดลง 31.73% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของไตรมาส 2 ปี 2565 มีกำไรสุทธิ 408.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113.03%
ทั้งนี้ ณ วันที่ 4 มี.ค. 2565 บริษัทมีจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด 2,125 ราย โดยมีผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) จำนวน 1,859 ราย สัดส่วน 15.91% และเมื่อสิ้นปี 2565 หุ้น SMK มีมาร์เก็ตแคปประมาณ 864 ล้านบาท ลดลงมากเมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีมูลค่าสูงกว่า 7,700 ล้านบาท
บริษัทสินมั่นคงประกันภัย (SMK) ก่อตั้งบริษัทเริ่มเปิดดำเนินธุรกิจตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค.2494 ถึงปัจจุบันมีอายุ 72 ปี ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 2 ล้านบาท รับประกันภัยทุกชนิด ทั้งรถยนต์ อัคคีภัย การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง และ การประกันภัยเบ็ดเตล็ด แต่เป็นที่รู้จักมากเรื่องของประกันภัยรถยนต์ และเป็นบริษัทประกันวินาศภัยรถยนต์เป็นหลักแห่งแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2534 และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องล่าสุดปี 2565 มีสาขาและศูนย์บริการ 146 แห่งทั่วประเทศ ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท