ดาวโจนส์ปิดร่วง 344 จุด บอนด์ยีลด์สูงขึ้น-รอผลประกอบการ

HoonSmart.com>> ดัชีดาวโจนส์ปิดร่วง 344 จุด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้น คาดเฟดจะชะลอลดดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย รอการรายงานผลกำไรของบริษัทยักษ์ใหญ่ ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” เพิ่มขึ้น ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 21ตุลาคม ปิดที่ 42,931.60 จุด ลดลง 344.31 จุด หรือ -0.8% หลังปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว และปรับขึ้นติดต่อกัน 6 วัน จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น และนักลงทุนระมัดระวังในการซื้อขายเนื่องจากมูลค่าหุ้นขึ้นไปสูง ขณะที่รอการรายงานผลกำไรของบริษัทยักษ์ใหญ่

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,853.98 จุด ลดลง 10.69 จุด, -0.18%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,540.01 จุด เพิ่มขึ้น 50.45 จุด, +0.27%

หุ้นกลุ่มสินค้าบริโภคและบริษัทรับสร้างบ้านเป็นกลุ่มที่ลดลงมากสุด จากความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเป็นระยะเวลานาน โดยหุ้น Target ลดลง 3.8% และ หุ้นBuilders FirstSource

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นมาที่ 4.19% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 12 สัปดาห์

นายนีล คาชคารี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)สาขา มินนิอาโปลิส กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า เขาคิดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจอยู่ในระดับสูงอีกนานกว่าที่เคยเป็นมา

การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งแม้เฟดขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในเชิงรุก บ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับที่เหมาะสม(neutral rate)ซึ่งไม่ผลักดันหรือถ่วงการเติบโตนั้นสูงขึ้น เมื่อเทียบกับอัตรา 2.5% ที่เจ้าหน้าที่เฟดยึดนาน

แซม สโตวาล หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ CFRA กล่าวว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายความว่าตอนนี้นักลงทุนกำลังคิดว่าธนาคารกลาง(เฟด)จะชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยลง เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงมีความแข็งแกร่ง ผลที่ตามมาคือเฟดน่าจะผลักดันอัตราเงินเฟ้อให้เหลือระดับเป้าหมาย 2% ในปีหน้าหรือประมาณนั้นได้ยากขึ้น

หุ้นที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยจำนวนมากร่วงลง ทั้งกลุ่มเทคโนโลยี megacap ที่หุ้น Teslaลดลง 0.84% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง 2.08%

แต่หุ้น Nvidia เพิ่มขึ้น 4.14% ปิดที่ 143.71 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้มูลค่าตามตลาดของเพิ่มขึ้นมาที่ 3.53 ล้านล้านดอลลาร์

ในสัปดาห์นี้ ผลประกอบการจะเป็นปัจจัยสำคัญ โดยราว 1ใน 5 ของบริษัทใน S&P 500 มีกำหนดรายงาน ทั้งTesla, Coca-Cola และ GE Aerospace

เดวิด เลาท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Abound Financial กล่าวว่า ก่อนการรายงานผลประกอบการ นักลงทุนส่วนหนึ่งมีแนวโน้มที่จะทำกำไรและ ตลาดกำลังมองว่ามูลค่าหุ้นจะปรับขึ้นได้อีกแค่ไหน

ในบรรดาบริษัทที่รายงานผลการดำเนินงานจนถึงขณะนี้ 83.1%มีกำไรสูงกว่าคาด ตามข้อมูลที่รวบรวมโดย LSEG เมื่อวันศุกร์

นักลงทุนส่วนใหญ่มองในทางบวกว่าตลาดหุ้นยังปรับขึ้นได้อีก แต่ก็กังวลต่อมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งผลสำรวจพบว่า โอกาสของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เพิ่มขึ้น และท่ามกลางความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ก็อาจส่งผลให้มีความผันผวนมาก

นักวิเคราะห์ Danske Bank กล่าวว่า ก่อนการเลือกตั้ง ผลสำรวจที่แม้จะเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ก็อาจจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดอย่างมาก

หุ้น Boeing บวก 3.1% จากรายงานข่าวว่าพนักงาน เตรียมโหวตข้อตกลงใหม่เพื่อยุตการประท้วงที่ยืดเยื้อมา 5 สัปดาห์

นักลงทุนยังรอการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงยอดขายบ้าน รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) จาก S&P Global และยอดสั่งซิ้อสินค้าคงทน

ตลาดยุโรปปิดลบ การซื้อขายผันผวน ท่ามกลางการรายงานผลประกอบการ แม้ราคาน้ำมันที่มีเสถียรภาพจะหนุนกลุ่มพลังงานให้ปรับขึ้น
.
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ลดลงเกือบ 2% และนำการปรับลงของตลาด แต่กลุ่มพลังงานนำการปรับขึ้น จากราคาน้ำทันที่กลับมามีเสถียรภาพหลังร่วงลง 7% ในสัปดาห์ก่อน

ตลาดหุ้นชั้นแนวหน้าทั้งเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน ลดลงระหว่าง 0.6% และ 1%

ผู้ว่าการ ธนาคารกลางลิทัวเนียกล่าวในวันจันทร์ว่า ธนาคารกลางยุโรป(ECB)อาจจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงให้ต่ำกว่า อัตราดอกเบี้ยในระดับที่เหมาะสม(neutral rate) หากเงินเฟ้อยังหนืด

นักลงทุนจับตาการรายงานผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร เริ่มด้วย Deutsche Bank, Barclays และ Lloyds ในสัปดาห์นี้

หุ้น SAP บริษัทซอฟต์แวร์ในเยอรมนี ซึ่งมีน้ำหนัก 15% ในดัชนี Dax กำหนดรายงานผลการดำเนินงานหลังตลาดปิด ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

นักลงทุนยังเกาะติดผลสำรวจที่บ่งชี้ว่าโอกาสของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจยุโรป

หุ้น Forvia บริษัทชิ้นส่วนรถยนต์ในฝรั่งเศส บวก 5.2%หลังบรรลุข้อตกลงกับ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ของจีน

หุ้น Sanofi บริษัทยาฝรั่งเศสลดลง 1% หลังเจรจาที่จะขายหุ้น 50% ให้กับ Clayton Dubilier & Rice ของสหรัฐฯ

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 521.52 จุด ลดลง 3.47 จุด, -0.66%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,318.24 จุด ลดลง 40.01 จุด, -0.48%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,536.23 จุด ลดลง 76.82 จุด, -1.01%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 19,461.19 จุด ลดลง 196.18 จุด, -1.00%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 1.34 ดอลลาร์ หรือ 1.94% ปิดที่ 70.56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 1.23 ดอลลาร์ หรือ 1.68% ปิดที่ 74.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล