HoonSmart.com>>”พีทีที โกลบอล เคมิคอล” (PTTGC) รุกปรับพอร์ตลงทุนธุรกิจที่มีคาร์บอนต่ำ มูลค่าสูง เพิ่มสัดส่วนรายได้จาก 10% เป็น 20%ใน 3-5 ปี ทำกำไรและการแข่งขันดีขึ้น ส่วนธุรกิจใดไปไม่ไหว Vencorex ตัดสินใจแล้ว PTT Asahi รอชี้ขาดไตรมาส 4 คาดตั้งด้อยค่ารวมไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท SAF เชื่อว่ามีกำไรจากการขายม.ค.68 allnex ผลตอบแทนดียิ่งขึ้น ขยายเคลือบผิวไปหลายอุตฯช่วยโต-กระจายความเสี่ยง โชว์เคสงานใหญ่ครั้งที่ 5 “ยั่งยืนไม่ยาก” รวมพลังคนรักษ์โลก
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) จัดงาน GC Sustainable Living Symposium 2024: GEN S GATHERING ภายใต้แนวคิด “ยั่งยืนไม่ยาก” เปิดเวทีครั้งที่ 5 รวมพลังครั้งสำคัญของคนหัวใจรักษ์โลก หรือ GEN S (Generation Sustainability) จากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมจัดนิทรรศการแสดงศักยภาพและเทคโนโลยีการผลิตเคมีภัณฑ์มูลค่าสูงคาร์บอนต่ำเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของ PTTGC ครอบคลุมทั้งเคมีภัณฑ์เคลือบผิวที่ยั่งยืน ไบโอเคมิคอล พลาสติกชีวภาพ และการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืนแห่งแรกของประเทศไทย (Sustainable Aviation Fuels: SAF) ตลอดจนสร้างโอกาสการเติบโตของประเทศผ่านบริษัท allnex ตอบสนองเทรนด์อนาคต สู่การเป็น Specialty Hub ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมแสดงปาฐกถาพิเศษ งานนี้จัดขึ้นในวันที่ 18 ต.ค.2567 ณ พารากอนฮอลล์ชั้น 5 สยาม พารากอน
นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า PTTGC เร่งปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนใหม่ เป็นกลุ่มเคมีภัณฑ์ที่มีการเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งสู่ธุรกิจที่มีคาร์บอนต่ำ มูลค่าสูง (High Value and Low Carbon) เปลี่ยนแปลงการทำกำไรและความสามารถการแข่งขันดียิ่งขึ้น ปัจจุบันมีสัดส่วนจากส่วนนี้ประมาณ 10% ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 20% ภายใน 3-5 ปี ส่วนโครงการไหนหรือธุรกิจใดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ แข่งไม่ได้ ในที่สุด ก็ต้องลดมูลค่าลง
” ทุกธุรกิจเราทบทวนหมด ดูถึงความสามารถในการแข่งขันและทำกำไรในระยะยาว ซึ่ง Vencorex ที่ฝรั่งเศสตัดสินใจแล้ว ส่วน PTT Asahi กำลังพิจารณาคาดว่าจะตัดสินใจในไตรมาสที่ 4 นี้ ทั้งนี้ทั้งสองบริษัทจะมีการบันทึกการด้อยค่าไม่เกิน 20,000 ล้านบาท”นายณะรงค์ศักดิ์กล่าว
PTTGC เป็นบริษัทไทยรายแรกที่ปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันดิบ ด้วยเทคโนโลยีการกลั่นขั้นสูงให้สามารถรองรับวัตถุดิบเหลือใช้จากการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ำมันพืชใช้แล้ว สู่การผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ SAF ซึ่งถือเป็นพลังงานหมุนเวียน หรือ Renewable & SustainableEnergy ที่มีวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีแผนจะผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนม.ค. 2568 ช่วงแรกผลิต 5 แสนลิตร/วันจากกำลังการผลิต 20,000 ตัน/ปี สามารถขยายเพิ่มเป็น 1 แสนตัน/ปี เชื่อว่่าจะมีกำไรเพราะไม่ต้องลงทุนปรับปรุงโรงกลั่นใหม่ โดยผลิตภัณฑ์ได้รับมาตรฐานด้านความยั่งยืนและการลดการปล่อยคาร์บอน ISSC Plus และ ISSC Corsia ซึ่งรับรองว่าผลิตภัณฑ์จากโครงการนี้ได้รับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้ง Value Chain
สำหรับ allnexที่ PTTGC เข้าถือหุ้นทั้ง 100% ผลตอบแทนยังคงเติบโตดี และมีการขยายการใช้นวัตกรรมเคลื่อบผิวไปหลายอุตสาหกรรม นอกจากช่วยสร้างการเติบโตแล้วยังช่วยกระจายความเสี่ยง แทนการพึ่งพาเฉพาะธุรกิจยานยนต์เพียงอย่างเดียว ส่วน Nature Works ของสหรัฐ 30 ปีก่อนนำเทคโนโลยีใช้ข้าวโพดมาผลิตเส้นใยคุณภาพสูง PTTGC ได้ชักชวนเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานที่นครสวรรค์ นำน้ำอ้อยมาทำน้ำเชื่อมมาผลิตภัณฑ์ไบโอเคมิคอล ไบโอพลาสติก หรือ พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพด้วยต้นทุนต่ำ นำมาผลิตแคปซูนกาแฟและชา บรรจุภัณฑ์ และเส้นใยสำหรับการพิมพ์ 3 มิติ ใช้แล้วสามารถย่อยสลายตอบโจทย์ความต้องการของโลก
“เรามองเห็นอนาคตที่ชัดเจนว่า ภาคการผลิตจะเปลี่ยนกระบวนการไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ ไม่ใช่เพียงแค่การตอบสนองต่อความต้องการของตลาด แต่เป็นการลงทุนเพิ่มขึ้ในโซลูชันที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ทำให้ภาคการผลิตสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ไปด้วยกัน” นายณะรงค์ศักดิ์กล่าว
สำหรับ PTTGC วางเป้าหมายในการเป็นองค์กรต้นแบบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในระดับสากล ภายใต้วิสัยทัศน์ “การเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต” พร้อมสร้างสมดลุ ด้านความยั่งยืนผ่านการประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ใน 3 มิติ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจและการกำกับดูแลกิจการที่ดี มาเป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปีและในปี 2564 PTTGC ได้กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 มุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำผ่านการกำหนดแผนงาน การวัดผลและการตรวจสอบที่ชัดเจน
ที่ผ่านการดำเนิน PTTGC โครงการมากกว่า 200 โครงการ มีการใช้หลัก 5R ใช้พลังงานหมุนเวียน นำเทคโนโลยีและDigitalization เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพโรงงาน รวมถึงแผนการบริหารจัดการคาร์บอน ภายใต้ความร่วมมือในกลุ่มปตท. ทั้งการศึกษาการกักเก็บ การใช้ประโยชน์จากคาร์บอน และการแสวงหาโอกาสในธุรกิจไฮโดรเจน ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่จะนำไปสู่ Net Zero ของภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย นอกจากนี้PTTGC ยังมีความร่วมมือครอบคลุมภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการปลูกและดูแลป่า ทั้งป่าบก ป่าชายเลน ป่าชุมชน จนมาถึงการศึกษาการปลูกข้าวนาเปียกสลับแห้ง
สำหรับงาน GC Sustainable Living Symposium 2024: GEN S GATHERING คือ ก้าวสำคัญในการปลุกพลังสร้างสรรค์และผสานพลังกับ GEN S ทุกคนเพื่อร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทยและโลกใบนี้ให้ยั่งยืนอย่างแท้จริง
ด้านบล.หยวนต้า (ประเทศไทย)แนะนำ เทรดดิ้ง PTTGC ให้ราคาเหมาะสมใหม่ 30 บาทคาดไตรมาส 3 พลิกเป็นขาดทุน 1.2 หมื่นล้านบาท จากไตรมาส 2 กำไร 1,800 ล้านบาท และกำไร 1,400 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปีก่อน ได้รับแรงกดดันจากรายการด้อยค่า Vencorex ขาดทุนสต็อกน้ำมัน แผนปิดซ่อมบำรุง อัตรากำไรโอเลฟินส์ ลดลง
ทั้งนี้ประมาณการของเรายังไม่รวมรายการด้อยค่าของ PTT Asahi ซึ่งคาดว่าจะบันทึกเข้ามาในไตรมาส 4 จึงปรับประมาณการปี 2567 เป็นขาดทุน 2 หมื่นล้านบาท และปีหน้ากำไร 1,200 ล้านบาท
แนวโน้มผลงานไตรมาส 4 ยังไม่เด่น เพราะเป็นช่วง Destocking ของอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม Valuation ไม่แพง และปี 2568 ฟื้นตัวจากฐานต่ำหลังผ่านการปรับโครงสร้างธุรกิจ ดังนั้นยังไม่ต้องรีบลงทุน เพราะระยะสั้นยังอ่อนแอ อุตสาหกรรมยังอยู่ในช่วงท้าทาย มีโอกาสถูกตลาดปรัยลดคาดการณ์ การจ่ายเงินปันผลยังมีความเสี่ยง
บล.เคจีไอให้น้ำหนักมากกว่าตลาดสำหรับหุ้น PTTGC และให้เป้าหมาย 34 บาทในปีหน้า ลดลงจากราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 41 บาท ประมาณการไตรมาส 3 จะมีผลขาดทุนสุทธิ 1.02 หมื่นล้านบาทจากการด้อยค่าของ Vencorex 9,000 ล้านบาทและจะมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 3,200 ล้านบาท แย่ลงจากที่มีกำไรจากสต็อกน้ำมัน 3,700 ล้านบาทใน 3Q66 และ 154 ล้านบาทใน 2Q67 หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลง 9.1 ดอลลาร์/บาร์เรลจากเดือนมิ.ย.-ก.ย. นอกจากนี้ยังคาดว่ากำไรของธุรกิจ olefins จะลดลงเล็กน้อย QoQ เพราะอัตราการใช้กำลังการผลิตจะลดลงจาก 84% เหลือ 80% เนื่องจากมีการปิดโรงงาน OLE2/2 ตามแผนนาน 26 วัน ในขณะที่ราคา HDPE ทรงตัว QoQ อยู่ที่ 1,043 ดอลลาร์/ตัน
นอกจากนี้ยังคาดว่ากำไรของ Allnex จะลดลง QoQ เนื่องจากปริมาณยอดขายลดลงเหลือ 194ล้านตัน (-5% QoQ) แต่คาดว่า market GRM ของ PTTGC จะเพิ่มขึ้น 10% QoQ เป็น 3.5 ดอลลาร์/บาร์เรลเนื่องจาก spread ของ LSFO เพิ่มขึ้นเป็น 6.3 ดอลลาร์ l (+4.1ดอลลาร์/บาร์เรล/ QoQ) ในขณะที่คาดว่าอัตราการกลั่นน้ำมันดิบจะลดลงเล็กน้อย 1% QoQ เหลือ 150 KBD สำหรับรายการพิเศษ คาดว่า PTTGC จะบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 3,200 ล้านบาท ดีขึ้นจากที่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 390 ล้านบาทในไตรมาสก่อนหน้า หลังจากที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น 4.6 บาท/ดอลลาร์ฯในไตรมาสที่ 3
บล.เคจีไอ ปรับลดประมาณการกำไรของปีนี้ จาก 6,600 ล้านบาท เป็นขาดทุนสุทธิ 1.75หมื่นล้านบาท เพราะใส่ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของ Vencorex และPTT Asahi Chemical (PTTAC) รวม 2 หมื่นล้านบาท เข้ามาในประมาณการ นอกจากนี้ยังปรับลดสมมติฐาน market GRM ปีนี้ลง 17% เหลือ 5.3 ดอลลาร์/บาร์เรล และปี 2568 ลง 19% เหลือ 6.0 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากที่ปรับลดสมมติฐาน spread ของน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซลในปีนี้ลงเหลือ 16/17ดอลลาร์/บาร์เรล และปีหน้าเป็น 18/18 ดอลลาร์/บาร์เรลตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึง crackspread ที่ต่ำกว่าคาดของทั้งสองผลิตภัณฑ์ในไตรมาสที่ 3
นอกจากนี้ ยังปรับลดสมมติฐาน spread ของHDPE และ LLDPE ลง 10% เหลือ 360 ดอลลาร์/ตัน และ7%เหลือ 380 ดอลลาร์/ตัน ในปี 2567F-2568F ตามลำดับเนื่องจากคาดว่าจะมีกำลังการผลิต PE ใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาด 3.3 MTA ในปีนี้ และ 5.9 MTA ในปีหน้า ดังนั้น จึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2568 ลง 35% เหลือ 7,200 ล้านบาท
เราขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 34 บาท ลดลงจากเดิมที่ 41บาท โดยอิงจาก EV/EBITDA ที่ลดลงเหลือ 7.5 เท่าจากเดิม 8.0 เท่าเพื่อสะท้อนถึงการปรับลดประมาณการกำไรและอุปทาน PE ใหม่ที่จะเพิ่มเข้าในตลาดเป็นจำนวนมากในปีหน้า แต่เรายังคงคำแนะนำซื้อ PTTGC เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวขึ้นอย่างมากในปีหน้าเพราะ i) ไม่ต้องรับรู้ผลประกอบการขาดทุนจากVencorexและ PTTAC อีก, ii)ค่าการกลั่นดีขึ้น และ iii) ปริมาณยอดขายของ Allnex เพิ่มขึ้น