“จิตติ-นพ.กฤชรัตน์-ธนรัชต์” ประสานเสียงปัจจัยบวกหนุนราคาทองคำเดือน ธ.ค. เด้งขึ้น มีโอกาสทะลุ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ หากเงินเฟ้อมา การเจรจาสงครามการค้ามีแนวโน้มดี
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี ประธานกรรมการ บริษัท จีที โกลด์ บูลเลี่ยน จำกัด ในฐานะนายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ราคาทองคำมีโอกาสที่จะขึ้นไปถึง 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ หากพรรคพรรครีพับลิกัน ที่สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสียที่นั่งในสภาฯ ในการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอเมริกา วันที่ 6 พ.ย. นี้ เพราะจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่อภาวการณ์ลงทุนมากขึ้น
“ถ้าทรัมป์เสียที่นั่งในสภา ราคาทองจะปรับขึ้นได้มาก เพราะทำให้เกิดความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่มีสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ที่ทำให้เศรษฐกิจมีปัญหาอยู่แล้ว แต่ถ้ามีปัญหาภายในประเทศ (สหรัฐฯ) เพิ่มขึ้น จะทำให้การลงทุนทองคำปลอดภัยมากที่สุด” นายจิตติ กล่าว
นอกจากนี้ นายจิตติ กล่าวอีกว่า จากแนวคิดของประธานาธิบดีที่ไม่อยากจะให้ปรับดอกเบี้ยขึ้น ซึ่งหากสหรัฐฯ ไม่ปรับดอกเบี้ยขึ้นจะทำให้ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นได้อีก โดยเห็นได้จากช่วงที่ทรัมป์ให้ความเห็นว่าไม่อยากให้ขึ้นดอกเบี้ยราคาทองขึ้นไป 30 ดอลลาร์/ออนซ์
“ถ้าทะลุแนวต้านที่ 1,245 ดอลลาร์/ออนซ์ ไปมีโอกาสจะไปที่ 1,275 ดอลลาร์/ออนซ์ หรืออาจจะมีโอกาสไปถึง 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำในรูปเงินบาทช่วงนี้น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 18,500 -19,500 บาท” นายจิตติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายจิตติ ยอมรับว่า การประเมินราคาทองคำในรูปเงินบาททำได้ยาก เพราะจะขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้นด้วย เช่น ตั้งแต่เดือน ต.ค. ราคาทองคำในรูปเงินบาทที่ปรับเพิ่มเดือนละ 1,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นผลจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง เพราะราคาในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท MTS Gold Futures จำกัด แนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อทองคำเมื่อราคาอ่อนตัว เพราะคาดว่าในช่วงเดือน ธ.ค. 2561 ราคาทองคำมีโอกาสที่จะขึ้นไปถึง 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และมีประเด็นเรื่องอัตราเงินเฟ้อ
“ช่วงนี้ทองคำอยู่ในช่วงขาขึ้นแล้ว แต่เป็นการขึ้นแบบแกว่งๆ โดยแนวรับหลักระยะยาวๆ อยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่แนวต้านระยะกลางๆ จนถึงสิ้นปีน่าจะอยู่ที่ 1,255 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งหากทะลุแนวต้านนี้ขึ้นไปได้จะถึง 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ระยะสั้นภายใน 1 สัปดาห์นี้แนวรับ-แนวต้าน อยู่ที่ 1,220 – 1,240 ดอลลาร์/ออนซ์” นพ.กฤชรัตน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นพ.กฤชรัตน์ คาดว่า ราคาทองคำในสิ้นปีนี้น่าจะทะลุ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะปลดภาวะกดดันราคาทองคำออกไป ประกอบกับแนวโน้มการเจรจาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่น่าจะออกมาดี
“ที่ผ่านมา 2 ปี พอ FED ขึ้นดอกเบี้ยแล้วราคาทองจะดีดขึ้นเลย และดีด 3 เดือน ไม่ได้ดีดเดี๋ยวเดียว รอบนี้จะปลดมากกว่า เพราะรอบนี้มีเรื่องสงครามการค้า ไม่รู้ว่าการเจรจาในเดือน ธ.ค. 2561 และ ม.ค. 2562 จะตกลงกันได้แค่ไหน แต่เชื่อว่ามีแนวโน้มที่จะตกลงกันได้น่าจะมีสูง ซึ่งหากผลออกมาดีราคาทองจะปรับขึ้นมาก เพราะค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าทำให้ราคาทองขึ้น ดังนั้นถ้าตกลงกันได้ 1,300 ดอลลาร์/ออนซ์ ก็น่าจะเห็น” นพ.กฤชรัตน์ กล่าว
นพ.กฤชรัตน์ กล่าวอีกว่า “ในขณะที่หุ้นวิ่งขึ้นมาตลอดจนเต็มเพดานพอสมควรแล้วและเป็นเวลาที่จะปรับฐานลง แต่ราคาทองคำยังไม่ได้ขึ้นเลย จะเห็นได้ว่าเมื่อต้นปี 2561 ราคาทองคำขึ้นไปสูงสุดที่ 1,350 และต่ำสุด 1,155 เมื่อ 2 เดือนก่อน เพราะฉะนั้นราคาทองยังมีระยะทางให้วิ่งอีกมาก”
นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ราคาทองคำในช่วงนี้จะแกว่งพอสมควร จากสถานการณ์การเลือกตั้งกลางเทอม ซึ่งแม้ว่าราคาจะปรับขึ้นไปได้แต่ก็น่าจะอ่อนตัวลงมา ดังนั้นในช่วงนี้ต้องจับตาผลการเลือกตั้งและนโยบายหลังการเลือกตั้งว่าจะเดินต่อไปอย่างไร
อย่างไรก็ตาม นายธนรัชต์ เชื่อว่า “ช่วงนี้เป็นเวลาที่น่าลงทุน เพราะหลังจากการเลือกตั้งที่ทำให้ราคาทองคำผันผวน แต่เดือน ธ.ค. คนก็จะมองไปที่การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED ซึ่งปกติการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าและเป็นปัจจัยกดดันราคาทอง แต่รอบนี้ถ้าดูการจ้างงานสหรัฐฯ ดี การว่างงานต่ำ แต่ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากเงินเฟ้อ และเมื่อมีประเด็นเรื่องเงินเฟ้อราคาทองก็ไม่น่าจะปรับลงได้ เพราะถ้าเงินเฟ้อมาราคาทองจะขึ้น และน่าจะขึ้นไปเกิน 1,250 ดอลลาร์/ออนซ์”