HoonSmart.com>>หุ้น”ปลูกผักเพราะรักแม่” (OKJ) หรือ“โอ้กะจู๋”เข้าซื้อขายในตลาดวันแรก แจกกำไรสูงถึง 85% นักลงทุนชอบวิถีเกษตรอินทรีย์ ในฐานะ “King of Organic Salad” ในไทย รายได้โตมั่นคง ลั่นรักษาขยายตัวปีละ 40% ใช้เงินที่ระดมทุนได้ลงทุนพัฒนาระบบเพิ่มผลผลิตผักสดพุ่งขึ้นถึง 3 เท่าปลายปีหน้า จากปัจจุบัน 8 แสนตัน/ปี เปิดสาขาใหม่ หวังมีมากกว่า 150 สาขาในปี 71 เพิ่ม New S-Curve กระจายเสี่ยงลดพึ่งพารายได้“โอ้กะจู๋” ที่ 95% ยอมรับคุย M&A 2-3 ราย
หุ้นบริษัทปลูกผักเพราะรักแม่ (OKJ) หรือ “โอ้กะจู๋” ประสบความสำเร็จสูงมาก ในการนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรกวันที่ 4 ต.ค. 2567 โดยราคาเปิดกระโดดที่ 10.10 บาท เทียบกับราคา IPO ที่ 6.70 บาท เพิ่มขึ้น 3.40 บาท ให้ผลตอบแทน 50.75% นับเป็นจุดต่ำสุด ก่อนที่จะมีแรงไล่ซื้อขึ้นไปสูงสุดที่ 12.50 บาท และปิดที่ 12.40 บาท พุ่งขึ้น 5.70 บาท คิดเป็น+85.07% ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 4,678.91 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ในวันเดียวกัน ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท OKJ มีการขายหุ้นบิ๊กล็อตจำนวน 31.8 ล้านหุ้น หรือ 5.2% ให้กับบริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ บริษัทย่อยของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) เพื่อคงสัดส่วนการถือหุ้น 20%
นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่(OKJ) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ นับเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯ ที่จะเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยจะนำเงินไปลงทุนพัฒนาระบบ ด้วยศักยภาพของบริษัทฯ และพื้นฐานการดำเนินธุรกิจให้บริการและจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Be Organic from Farm to Table” เน้นวิถีเกษตรอินทรีย์ (Organic) ภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋” “Oh! Juice” และ “Ohkajhu Wrap & Roll” จะสนับสนุนให้ OKJ เป็นหุ้นที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ และมีความยั่งยืนในอนาคต
” OKJ เป็นหุ้นเติบโตมั่นคง และมีจุดแข็งเรื่อง ESG ที่ผ่านมารายได้เติบโตเฉลี่ย 40% ต่อปี เรายังคงจะรักษาการเติบโตในระดับนี้ต่อไปได้และเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในการทำเกษตรอินทรีย์ บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนากระบวนการเพาะปลูกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต โดยจะใช้เงินระดมทุนมาลงทุนในระบบและอุปกรณ์ที่ได้ศึกษาและออกแบบไว้ คาดว่าจะเพิ่มปริมาณผลผลิตได้อีกประมาณ 300% จากปัจจุบันที่ 8 แสนกิโลกรัม/ปี โดยบริษัทปลูกเองประมาณ 70% ส่วนที่เหลือ 30% เป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรที่ทำไร่เลื่อนลอยเพาะปลูกอีก 100 ครัวเรือน ลดการเผาได้ผืนป่ากลับคืนมา” นายชลากรกล่าว
นอกจากนี้บริษัทฯ มีเป้าหมายสร้างการเติบโตในฐานะ “King of Organic Salad” ในประเทศไทย โดยให้ความสำคัญและมุ่งมั่นพัฒนาสูตรอาหารและเครื่องดื่มมาโดยตลอด เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าและผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี โดยใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์และความพร้อมด้านบุคลากรของฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้กลายเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มทำให้เมนูอาหารเพื่อสุขภาพมีรสชาติอร่อยแปลกใหม่ ทานง่าย ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น โดยบริษัทฯใช้เวลาในการคิดค้นและออกเมนูหรือผลิตภัณฑ์ใหม่เพียงประมาณ 1-2 เดือน ทำให้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และสาขาที่มีอยู่ก็มีการเติบโตชัดเจน
นายชลากรกล่าวว่า OKJ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจและสร้างแบรนด์ใหม่ ๆ เพิ่มเติม รวมถึงการศึกษาและคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อสร้าง New S-Curve โดยตั้งเป้าแผนการดำเนินงานในระยะ 5 ปี (2567-2571) ในการขยายสาขาใหม่ทั้ง 3 แบรนด์ แบ่งเป็น วางแผนจะขยายสาขาแบรนด์ “โอ้กะจู๋” เป็น 67 สาขา จากปัจจุบันที่มีร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full-service Restaurant) และร้านอาหารในรูปแบบ Deliver & Kiosk รวมทั้งสิ้น 37 สาขา, ขยายสาขาแบรนด์ “Ohkajhu Wrap & Roll” ให้ครบ 20 สาขา จากปัจจุบันมีทั้งสิ้น 1 สาขา และขยายสาขาแบรนด์ “Oh Juice” ให้ครบ 70 สาขา จากปัจจุบันมีทั้งสิ้น 8 สาขา ส่งผลให้มีสาขารวมทั้งสิ้น 157 สาขาภายในปี 2571 เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ๆ รวมทั้งหัวเมืองหลักในภูมิภาคต่าง ๆ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมพัฒนาเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อเพิ่มผลผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) โดยมีแผนในการสร้างครัวกลางกรุงเทพฯ แห่งใหม่ ในโซนรังสิตจ.ปทุมธานี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบได้ภายในไตรมาส 3/2568 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและเพิ่มสายการผลิตสินค้าใหม่ ๆ รวมถึงแผนพัฒนาเครื่องจักร อุปกรณ์ รวมถึงห้องล้างผัก และเทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในครัวกลาง ระบบการบริหารจัดการวัตถุดิบสินค้าคงเหลือ และสำนักงาน เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
“โมเดลธุรกิจ ยังช่วยให้บริษัทมีการเติบโต พร้อมกระจายความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น จากปัจจุบันมีรายได้จากแบรนด์ “โอ้กะจู๋” สูงถึง 95% มีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้จากแบรนด์และธุรกิจอื่นๆประมาณ 25% รวมถึงการควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา 2-3 ดีล “นายชลากรกล่าว
บริษัทฯ ยังเพิ่มช่องทางการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า ได้แก่ร้านจำหน่ายอาหารเพื่อสุขภาพ (Delivery and Kiosk) เน้น Delivery และ Grab & Go, การให้บริการแบบDrive Thru การบริการอาหารว่าง (Snack box) การสั่งอาหารทางออนไลน์ Food Delivery Platform ต่าง ๆ ขณะเดียวกันได้รับการสนับสนุนจาก OR ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นทางอ้อมของบริษัทฯ ซึ่ง OR เป็นพันธมิตรที่ ศักยภาพ ที่พร้อมส่งเสริมการเติบโตในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การขยายสาขาในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ในทำเลที่มีศักยภาพ (Strategic location) การนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ไปวางจำหน่ายผ่านร้าน Café Amazon นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการวางจำหน่ายผลผลิตเกษตรอินทรีย์ เช่น ผัก สลัดพร้อมทาน ผ่าน Rimping Supermarket ใน จ.เชียงใหม่ และ Gourmet Market ในกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม OKJ ยังมีแผนในการเพิ่มบริการด้านอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น การจำหน่ายและบริการวางแผนมื้ออาหาร (Meal plan) และการจัดเลี้ยง (Catering) ซึ่งตอบโจทย์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง และความนิยมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า OKJ เป็นผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในไทย จึงมีกระแสตอบรับจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยเป็นอย่างมากในช่วงการจองซื้อหุ้น IPO ที่ผ่านมา เนื่องจาก แบรนด์ “โอ้กะจู๋” เป็นที่รับรู้ในวงกว้างว่าเป็นผู้นำธุรกิจร้านอาหารสุขภาพ ที่เสิร์ฟอาหารคุณภาพระดับพรีเมี่ยม โดยบริษัทฯ ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพระดับสูง ใช้ผักสดใหม่จากสวน ด้วยกระบวนการเพาะปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ ที่เสริมสร้างคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ รวมถึงมีผัก และดอกไม้ที่หลากหลายกว่า 50 ชนิด ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้บริษัทฯ แตกต่างจากร้านอาหารอื่น ๆ ขณะเดียวกันมีการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และเป็นผู้นำในการสร้างเทรนด์ผลิตภัณฑ์ และเมนูเพื่อสุขภาพที่แปลกใหม่ (Trend setter) ส่งผลให้ OKJ เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานทางธุรกิจแข็งแกร่งและมีโอกาสเติบโตในอนาคตอีกมาก