บลจ.กสิกรไทยคงเป้าหุ้น 1,650 จุดครึ่งปีหลัง ท่องเที่ยว-มาตรการกระตุ้นศก.หนุน

HoonSmart.com>> “บลจ.กสิกรไทย” มองแนวโน้มหุ้นไทยปรับตัวขึ้น หลังความชัดเจนจัดตั้งรัฐบาล-แนวโน้มเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวตามภาคท่องเที่ยว รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คงเป้า SET Index แตะ 1,650 จุด ช่วงครึ่งหลงของปีนี้ คัด 3 กองทุนเด่น K-STAR, K-PLAN2 , K-PLAN3

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย มองแนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์นี้ (28 ส.ค.-3 ก.ย.66) ว่า บลจ.กสิกรไทยยังคงมุมมองดัชนี SET จะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 1,650 จุด ได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลและจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะฟื้นตัวตามภาคการท่องเที่ยว คาดว่ารัฐบาลที่เข้ามาใหม่จะให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเป็นเรื่องด่วนและคาดหวังที่จะเห็นมาตรการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเน้นที่การเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน การบริโภคภายในประเทศ การส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศ

“บลจ.กสิกรไทย เชื่อว่าการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นและเศรษฐกิจ ที่จะมีภาครัฐเข้ามาบริหารจัดการ โดยมองว่าการจัดตั้งรัฐบาลสลายขั้ว น่าจะทำให้พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน เพื่อลดความไม่พอใจของหลายๆฝ่าย โดยเฉพาะฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยเอง”บลจ.กสิกรไทย ระบุ

ทั้งนี้ จากนโยบายที่ได้ประกาศไว้ในช่วงหาเสียง หลักการที่เป็นหัวใจในการบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทย คือ “เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส” พรรคเพื่อไทยจะมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยใช้แนวคิด “รดน้ำที่ราก” เพื่อให้ต้นไม่งอกงามทั้งต้น

อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นรัฐบาลผสมยังต้องดูรายละเอียดของนโยบายต่างๆที่จะแถลงเป็นนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนก.ย.นี้

สำหรับมุมมองการลงทุน บลจ.กสิกรไทยมองการได้ของรัฐบาลใหม่ จะทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น จากการดำเนินนโยบายตามที่ได้หาเสียงไว้ อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังคงต้องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจเกิดปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าประมาณ 3-6 เดือน ประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัวลงกว่านี้ ซึ่งจะเป็นความท้าทายต่อภาคส่งออก

นอกจากนี้ จุดเปราะบางของเศรษฐกิจไทย คือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงถึง 90.6% ของ GDP ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันภาคการบริโภคและกำลังซื้อภายในประเทศให้ชะลอตัวลง ขณะเดียวกันอัตราดอกเบั้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาระหนี้ครัวเรือนอีกด้วย

“เราคงคำแนะนำหุ้นไทยเป็น Neutral ทยอยสะสมได้ แนะนำสัดส่วน 5-10% ของพอร์ตการลงทุน สำหรับกองทุนทั่วไปแนะนำ K-STAR, K-PLAN2 และ K-PLAN3 ส่วนกองทุนลดหย่อนภาษี แนะนำ K-STAR-SSF และ KSTARRMF

สำหรับมุมมองตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งตลาดหุ้นโลกโดยรวมได้อานิสงส์จาก Bond Yield สหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงเล็กน้อย หลังตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวออกมาอ่อแเอและทำให้นักลงทุนลดความกังวลการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ Fed นอกจากนี้ ราคาหุ้น NVIDIA ที่ปรับตัวขึ้นแรง ช่วยหนุนราคาหุ้นในกลุ่มชิป เซมิคอนดักเตอร์ในประเทศอื่นให้ปรับขึ้นตามด้วย ทำให้หุ้นสไตล์เติบโต (Growth) กลับมาทำผลตอบแทนได้ดี ขณะที่ทางฝั่งจีน การปรับลดดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปี ลงน้อยกว่าคาด สร้างความผิดหวังให้แก่นักลงทุน

กองทุนแนะนำ ได้แก่ K-CCTV, K-CHX, K-USA, K-USXNDQ และ K-INDIA

ส่วนตราสารหนี้ต่างประเทศ จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย แต่ยังอยู่เหนือ 4.2% โดยบลจ.กสิกรไทยมองว่า ความผันผวนในตลาดตราสารหนี้และการปรับคาดการณ์ดอกเบี้ยของ Fed จะยังคงมีอยู่ในช่วงนี้ถึงปลายไตรมาส 3 แนะนำการลงทุนสามารถเข้าลงทุน K-GB ได้ (Slightly Positive)

ด้านตราสารหนี้ไทย ซึ่งธปท.เตรียมปรับประมาณการเศรษฐกิจในเดือนก.ย.นี้ ผลกระทบจากปัจจัยลบภายนอกประเทศ รวมถึงหนี้สินครัวเรือนในระดับสูงฉุดกำลังซื้อ แนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังคงดูอ่อนแอทำให้ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า ธปท.อาจจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย.นี้ นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนตามระยะเวลาที่ถือครองได้

สำหรับตราสารหนี้ระยะสั้น แนะนำ K-SF ลงทุนอย่างน้อย 1-3 เดือน และ K-SFPLUS ลงทุนอย่างน้อย 3-6 เดือน
ตราสารหนี้นะยะกลาง แนะนำ K-PLAN1 ลงทุนอย่างน้อย 9-12 เดือน
ตราสารหนี้ระยะยาว แนะนำ K-FIXEDPLUS ลงทุนอย่างน้อย 1 ปี