HoonSmart.com>>บล.กสิกรไทยให้แนวรับที่ 1,440 และ 1,420 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,460 และ 1,475 จุด รอถ้อยแถลงประธานเฟด-ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ด้านธนาคารกสิกรไทยมองเงินบาทเคลื่อนไหวที่ระดับ 32.10-32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ จากสัปดาห์ที่ผ่านมาแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 31 เดือนสอดคล้องกับเงินหยวนที่แข็งค่า และราคาทองคำตลาดโลกที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทยมองหุ้นสัปดาห์ถัดไป (30 ก.ย.-4 ต.ค.2567) ว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,440 และ 1,420 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,460 และ 1,475 จุด ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ถ้อยแถลงของประธานเฟดและเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่น และทิศทางเงินทุนต่างชาติ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตและภาคบริการ การจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือนก.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค. ของญี่ปุ่น ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนก.ย. ของจีน ญี่ปุ่น และยูโรโซน รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนก.ย. ของยูโรโซน
ในวันศุกร์ที่ 27 ก.ย. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,450.15 จุด ลดลง 0.11% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 57,371.50 ล้านบาท ลดลง 6.68% ส่วนดัชนี mai ลดลง 1.24% มาปิดที่ระดับ 354.53 จุด
หุ้นแกว่งตัวในกรอบแคบช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางแรงขายทำกำไรหุ้นหลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มสื่อสาร โรงไฟฟ้า และไฟแนนซ์ ระหว่างรอปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด อย่างไรก็ดี ภาพรวมตลาดดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมาตามทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาค หลังจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ ซึ่งกระตุ้นแรงซื้อหุ้นโดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมีและวัสดุก่อสร้าง
ดัชนีหุ้นกลับมาย่อตัวลงอีกครั้งในช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์สอดคล้องกับสถานะการลงทุนของต่างชาติที่กลับมาขายสุทธิหุ้นไทย ประกอบกับมีปัจจัยลบจากการที่ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ปรับลดประมาณการจีดีพีไทยทั้งปีนี้และปีหน้าลง 0.3% ไปที่ระดับ 2.3% และ 2.7% ตามลำดับ ส่งผลให้เกิดแรงขายทำกำไรในหุ้นหลายกลุ่ม นำโดย กลุ่มแบงก์ รวมถึงกลุ่มวัสดุก่อสร้างและปิโตรเคมีที่ดีดตัวขึ้นไปสูงก่อนหน้านี้ ทำให้หุ้นไทยร่วงลงต่อเนื่องจนถึงช่วงปลายสัปดาห์สวนทางภาพรวมของตลาดหุ้นภูมิภาค
ส่วนค่าเงินบาทวันที่ 30 ก.ย.-4 ต.ค. ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวที่ระดับ 32.10-32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ รายงานเศรษฐกิจและการเงินเดือนส.ค. ของธปท. ถ้อยแถลงของประธานเฟด ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI และ ISM ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราการว่างงานเดือนก.ย. ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนส.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามตัวเลขดัชนี PMI เดือนก.ย. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/67 ของอังกฤษ และอัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย. ของยูโรโซนด้วยเช่นกัน
ในวันศุกร์ที่ 27 ก.ย. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 32.39 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 33.06 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (20 ก.ย. 67) ธปท. ส่งสัญญาณติดตามดูแลสถานการณ์เงินบาทอย่างใกล้ชิด หลังเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะนี้
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 23-27 ก.ย. นั้น ขายสุทธิหุ้นไทยที่ 695 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 11,884 ล้านบาท (แบ่งเป็น ขายสุทธิพันธบัตร 11,882 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 2 ล้านบาท)
เงินบาทแข็งค่าทะลุแนว 33.00 และ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ไปทำสถิติแข็งค่าสุดในรอบ 31 เดือนที่ 32.36 บาทต่อดอลลาร์ฯ (แข็งค่าสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนก.พ. 2565) ขยับแข็งขึ้นตามภาพรวมของสกุลเงินในเอเชีย นำโดย เงินหยวนที่ได้รับอานิสงส์จากความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน นอกจากนี้เงินบาทยังมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกที่ไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ สวนทาง Sentiment ของเงินดอลลาร์ฯ ที่ยังอ่อนแอต่อเนื่องท่ามกลางกระแสการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในระยะข้างหน้า (โดยตลาดประเมินว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขนาดที่มากกว่า 0.25% ในการประชุมครั้งถัดๆ ไป)