“หุ้นอินเดีย” ตลาดใหม่ในการลงทุน “กองทิสโก้” ผลตอบแทนสูงสุด 13.38%

HoonSmart.com>> “มอร์นิ่งสตาร์” ชี้ “ตลาดหุ้นอินเดีย” ทำนิวไฮไตรมาส 2/66 หนุนผลตอบแทนปีนี้สูง 8% เทียบหุ้นจีนติดลบ 5% เงินไหลเข้าลงทุนหลังนักลงทุนเเชื่อมั่นศักยภาพการเติบโตระยะยาวเศรษฐกิจอินเดีย ด้าน “กองทุนหุ้นอินเดีย” ในไทย 29 กองทุน สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีนี้ 5.92% ด้าน “กองทุนทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้” ทำผลตอบแทนได้สูงสุด 13.38%

บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หลังจากที่ต้องผิดหวังมาหลายไตรมาสกับตลาดหุ้นจีน นักลงทุนเริ่มมองหาโอกาสสำหรับตลาดใหม่ในการลงทุน โดยขณะที่ตลาดญี่ปุ่นเป็นตลาดที่นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจอย่างมาก อินเดียก็เป็นอีกตลาดที่อยู่ในความสนใจเช่นกัน โดยผลตอบแทนที่โดดเด่นในไตรมาสที่ 2 นี้ ทำให้ตลาดอินเดียทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันยังสูงถึง 8% เทียบกับจีนที่ยังติดลบอยู่ -5% (อ้างอิง Morningstar China Index)

Ramanand Kothari นักวิเคราะห์วอาวุโสของ Morningstar กล่าวว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทำให้ตลาดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกรกฎาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็ก” อินเดียยังคงเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค และตลาดทุนก็ได้รับกระแสเงินไหลเข้าอย่างแข็งแกร่งจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ปัจจัยอื่นๆ ที่ผลักดันให้ผลประกอบการแข็งแกร่ง ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัทที่ดี และอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนเห็นศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของอินเดีย

“ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอินเดียกลับมาอ่อนตัวลง และถอยกลับไปสู่ระดับปกติมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดพอจะคาดได้อยู่แล้ว ทั้งนี้ในบางส่วนของอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ ทำผลตอบแทนได้ดีมากโดยมีปัจจัยหนุนมาจากต้นทุนการผลิตที่ลดลงเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง ซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางตรงกันข้ามเมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นและตัวเลขเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น” Ramanand Kothari กล่าวเสริม

ผู้จัดการกองทุนอินเดียซื้อหุ้นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีคุณภาพดี เช่น HDFC Bank ซึ่งมีข่าวเรื่องการควบรวมกิจการกับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร HDFC Corp, ICICI Bank และ Kotak Mahindra Bank , หุ้นกลุ่มการบริโภคเนื่องจากฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่ของประเทศและกำลังซื้อที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในทางกลับกัน เริ่มมีการลดน้ำหนักการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอในตลาดสำคัญๆ เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป

อย่างไรก็ดี ความผันผวนในตลาดภายในประเทศอาจเกิดขึ้นได้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในตลาดที่พัฒนาแล้วยังคงมีอยู่ อีกทั้งจะเห็นความผันผวนมากขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 จากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไปในประเทศ

ปัจจุบันมีกองทุนหุ้นอินเดียในประเทศไทยทั้งหมด 29 กอง คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิทั้งสิ้นเกือบ 8 พันล้านบาท โดยมีเงินไหลออกอย่างต่อเนื่องตลอด 5 เดือนแรกของปี เกือบ -330 ล้านบาท แต่ตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงปัจจุบันกลับเริ่มมีเงินไหลเข้า รวมทั้งสิ้นกว่า 175 ล้านบาท มีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ YTD +5.92%

สำหรับ 5 อันดับกองทุนหุ้นอินเดีย ที่มีผลตอบแทนสูงสุดตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 17 ส.ค.2566 อันดับหนึ่ง ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ ผลตอบแทน 13.38% อันดับสอง กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นอินเดียมิดแคปเพื่อการเลี้ยงชีพ 11.30% อันดับสาม กองทุนเปิดกรุงศรีอินเดีย อิควิตี้ 9.13% อันดับสี่ กองทุนเปิดบัวหลวงภารตะ 9.11% และอันดับห้า กองทุนปิดกรุงศรีอินเดีย อิควิตี้เพื่อการเลี้ยงชีพ 8.94%


ด้าน 3 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แรกที่ครองส่วนแบ่งตลาดเกือบ 70% ได้แก่ บลจ. บัวหลวง 34% บลจ. กสิกรไทย 25% และ บลจ. ไทยพาณิชย์ 10%