ฟ้อง DSI ‘ศิริญา-วิษณุ’กับพวกรวม 6 ราย ทุจริต-ผ่องถ่ายทรัพย์ NUSA ส่งต่อ ปปง.

HoonSmart.com>>เจ้าของบจ….อีกแล้ว! ก.ล.ต.กล่าวโทษ ‘ศิริญา-วิษณุ เทพเจริญ’ สมพิจิตร-นนทวัชร์-วรินภร-โฉมสุดา กรรมการ อดีตกรรมการและผู้บริหาร’ณุศาศิริ’ (NUSA) ต่อ DSI กรณีซื้อโรงแรมที่เยอรมนี ราคาไม่สมเหตุสมผลอย่างมีนัยสำคัญ  ขายห้องชุดณุศาฯต่ำกว่าราคาประเมิน ผ่องถ่ายเงินบริษัทเข้าบัญชีส่วนตัว-บุคคลใกล้ชิด แสดงเอกสารข้อมูลเท็จ ส่งเรื่องต่อปปง.เผย 4 ปีครึ่ง บริษัทขาดทุนรวม 2,618 ล้านบาท บอร์ดสั่งฟ้องกรรมการทุกคนที่อนุมัติซื้อโรงแรม ชดใช้ค่าเสียหาย

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับเรื่องร้องเรียนในปี 2566 จึงได้ทำการตรวจสอบรวมทั้งประสานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และพบพยานหลักฐานที่แสดงได้ว่าในช่วงปี 2563 กรรมการและผู้บริหาร NUSA รวม 4 ราย ได้แก่ (1) นางศิริญา เทพเจริญ (2) นายวิษณุ เทพเจริญ (3) นายสมพิจิตร ชัยชนะจารักษ์ และ (4) นายนนทวัชร์ ธนสุวิวัฒน์ ได้ร่วมกันกระทำการโดยทุจริตลงทุนซื้อโรงแรม Panacee Grand Hotel Roemerbad ที่ประเทศเยอรมนีในราคาที่สูงกว่าราคาประเมินที่ประเมินด้วยวิธีเปรียบเทียบราคาตลาด (Market approach) อย่างไม่สมเหตุสมผล

นอกจากนี้ยังร่วมกันกระทำการโดยทุจริตขายห้องชุดซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ของ NUSA ในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมิน รวมทั้งผ่องถ่ายเงินออกจาก NUSA เข้าบัญชีส่วนตัวและบุคคลใกล้ชิด เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น จนทำให้ NUSA ได้รับความเสียหาย โดยมี (5) นางสาววรินภร จันทรโรจน์วานิช ซึ่งเป็นผู้ขายโรงแรม Panacee และ (6) นางโฉมสุดา รุ่งเรืองเนาวรัตน์ กรรมการผู้มีอำนาจในบริษัทผู้ซื้อห้องชุดจาก NUSA เป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือการกระทำความผิดของบุคคลตาม (1) – (4)

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พบว่า เงินมัดจำค่าซื้อโรงแรม Panacee ที่ NUSA ชำระให้แก่นางสาววรินภร ผู้ขายโรงแรม ไม่ได้ถูกนำเข้าบัญชีของผู้ขาย แต่กลุ่มกรรมการและผู้บริหาร NUSA ได้แก่ นางศิริญา นายวิษณุ และนายนนทวัชร์ รวมถึงบุคคลใกล้ชิดเป็นผู้ได้รับประโยชน์ของเงินขายโรงแรมดังกล่าว

นอกจากนี้ ในชั้นการทำคำชี้แจงต่อ ก.ล.ต. ในกรณีข้างต้น กรรมการและผู้บริหารของ NUSA ในขณะกระทำผิดทั้ง 4 ราย ได้นำส่งพยานหลักฐานเอกสารและข้อมูลอันเป็นเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของ ก.ล.ต. โดยได้นำส่งรายงานของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเป็นเท็จ เพื่อลวงไม่ให้ ก.ล.ต. ทราบมูลค่าที่แท้จริงตามบัญชีของโรงแรมดังกล่าว อีกทั้งยังพบว่า ได้ทำการตกแต่งบัญชีเพื่อลวงผู้สอบบัญชีของบริษัทให้เชื่อว่า NUSA ได้รับชำระหนี้ค่าห้องชุดครบถ้วนจากบริษัทผู้ซื้อแล้ว เพื่อไม่ให้ผู้สอบบัญชีมีข้อสงสัยในการบันทึกบัญชีของธุรกรรมข้างต้น

การกระทำของกรรมการ NUSA กับพวกรวม 6 ราย กรณีร่วมกันทุจริตในการเข้าซื้อโรงแรมที่ประเทศเยอรมนีและกรณีร่วมกันทุจริตการขายห้องชุดของ NUSA ในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมิน รวมทั้งผ่องถ่ายเงินออกจาก NUSA เข้าบัญชีส่วนตัวและบุคคลใกล้ชิดดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 281/2 วรรคสอง ประกอบมาตรา 89/7 มาตรา 89/24 มาตรา 307 มาตรา 308 มาตรา 311 มาตรา 312 มาตรา 313 และมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ) และมาตรา 83 หรือมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แล้วแต่กรณี นอกจากนี้ กรณีการแสดงเอกสารและข้อมูลเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของ ก.ล.ต. และการลวงผู้สอบบัญชี เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรามาตรา 302 มาตรา 302/1 และมาตรา 312 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 6 ราย ต่อ DSI เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ยังได้แจ้งการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ข้างต้นต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมอีกด้วย

ทั้งนี้ การถูกกล่าวโทษข้างต้นมีผลให้ผู้ถูกกล่าวโทษเข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจและไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตลอดระยะเวลาที่ถูกกล่าวโทษดำเนินคดี นับตั้งแต่วันที่ ก.ล.ต. มีหนังสือกล่าวโทษบุคคลดังกล่าวต่อ DSI

อนึ่ง การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรม ตามลำดับ ทั้งนี้ ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดีต่อไป และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว

สำหรับผลการดำเนินงานของ NUSA นับตั้งแต่ปี 2563-มิ.ย.2567 บริษัทขาดทุนมาโดยตลอดทุกปี  -928.08 ล้านบาท -889.13 ล้านบาท
-417.22ล้านบาท -708.88 ล้านบาท และ 6 เดือนปีนี้ -383.50 ล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งสิ้น 2,618 ล้านบาท

ทางด้านนายณัฐพศิน เชฎฐ์อุดมลาภ กรรมการ และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณุศาศิริ แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า การกล่าวโทษครั้งนี้ มีผลให้นายสมพิจิตร กรรมการของบริษัทฯที่เป็นผู้ถูกกล่าวโทษ เข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจและไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ นับตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย.2567 โดยบริษัทจะยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไขรายชื่อกรรมการของบริษัทฯ ต่อนายทะเบียน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ต่อไป

นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2567 มีมติอนุมัติการฟ้องร้องดำเนินคดีกับกรรมการและอดีตกรรมการของบริษัทฯ ทุกรายที่ร่วมลงมติอนุมัติการเข้าซื้อโรงแรมที่ต่างประเทศทั้งทางแพ่งและอาญาแล้ว เพื่อเรียกร้องให้มีการรับผิดชดใช้ค่าเสียหายคืนให้แก่บริษัท โดยทนายผู้รับผิดชอบคดีอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำคำฟ้องและรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยื่นต่อศาลตามมติของคณะกรรมการบริษัทฯ

ทั้งนี้ การกล่าวโทษของสำนักงาน ก.ล.ต. ไม่มีผลกระทบในทางลบต่อการดำเนินงานและผลประกอบการของณุศาศิริ บริษัทฯ จะประสานงานกับสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ