“ฟินโนมีนา” ชี้เป้า 3 กลุ่ม Outperform ช่วงดอกเบี้ยขาลง

HoonSmart.com>> “ฟินโนมีนา” ชี้ Fed อัดยาแรงลดดอกเบี้ย 0.5% ไม่เกิด Recession ไม่เป็น Behind The Curve พร้อมชี้เป้าหุ้น 3 กลุ่ม “สาธารณูปโภค -บริการสุขภาพ-การเงิน” Outperform ช่วงดอกเบี้ยขาลง ส่วน “พลังงาน-เทคโนโลยี” Underperform

ฟินโนมีนา (Finnomena) สรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% เป็น 4.75% – 5.0% ถือเป็นการลดครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี และ Dot plot คาดการณ์ว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ในสิ้นปีนี้ และลดอีก 1% ในปี 2025 ซึ่ง Fed มีความมั่นใจมากขึ้นว่าเงินเฟ้อกำลังเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย 2%

เป้าหมายสำคัญคือต้องการทำให้ความเสี่ยงต่อเป้าหมายการจ้างงานและเงินเฟ้ออยู่ในจุดสมดุลและยอมรับว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ชะลอตัว จึงปรับคาดการณ์อัตราว่างงานปีนี้ขึ้นเป็น 4.4% จาก 4.0% พร้อมปรับคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงมาเป็น 2% จากก่อนหน้านี้ที่ 2.1%

นอกจากนี้ Fed ย้ำว่าการลดดอกเบี้ย 0.5% เพื่อให้มั่นใจว่าจะเกิด Soft Landing ไม่ได้เป็นการ Behind The Curve ขณะที่ Jerome Powell แสดงความมั่นใจว่าไม่กลัว Recession บอกว่ายังไม่เห็นสัญญาณใด ๆ ในขณะนี้ที่บ่งชี้ เพราะอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง เงินเฟ้อก็กำลังลดลง ส่วนตลาดแรงงานแม้จะชะลอแต่ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก ส่วน Nonfarm Payroll กังวลที่เห็นตัวเลขอยู่สูงเกินจริง เพราะมีการ revise down ตัวเลขลงเดือนละ 67,000 ตำแหน่ง

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน หากเชื่อว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะตามาด้วย Soft Landing คือค่อย ๆ ชะลอตัวลง ไม่ได้ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง จากข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 1990 ชี้ว่า S&P 500 จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หุ้นส่วนใหญ่มักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก และกลุ่มอุตสาหกรรมที่มัก Outperform ในช่วงดอกเบี้ยขาลง ได้แก่ กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) กลุ่มบริการสุขภาพ (Health Care) และกลุ่มการเงิน (Financials)

กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) หุ้นกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่มีโอกาส Outperform ตลาด เนื่องจากเป็นธุรกิจที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันของผู้คน ทำให้ความต้องการใช้บริการสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปาและไฟฟ้า มีความสม่ำเสมอไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือแย่

จากข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 1995 ถึง 2019 พบว่าหุ้นกลุ่ม Utilities แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีในหลายสภาวะ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะออกมา Soft Landing หรือ Hard Landing

อีกหนึ่งความน่าสนใจคือในปัจจุบันหุ้นกลุ่ม Health Care บางบริษัทเช่น Eli Lilly มักจะมี P/E Ratio ที่สูง ทำให้หุ้นกลุ่ม Utilities ถูกมองว่าอาจจะมีความ Defensive โดยธรรมชาติมากกว่ากลุ่ม Health Care

กลุ่มบริการสุขภาพ (Health Care) ถือเป็น Defensive Stock เนื่องจากความต้องการด้านสุขภาพเป็นปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้บริษัทในกลุ่มนี้มีรายได้และกำไรสม่ำเสมอ

แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้คนก็ยังคงต้องใช้บริการทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทำให้หุ้น Health Care มักจะทำผลงานได้ดีกว่าตลาดเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี

ข้อมูลในอดีตชี้ให้เห็นว่าหุ้นกลุ่ม Health Care มักมีผลตอบแทนเหนือกว่าตลาดโดยเฉลี่ยในหลากหลายสภาวะเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง (Soft Landing) และแม้ในกรณีที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง (Hard Landing) หุ้นกลุ่ม Healthcare ก็ยังสามารถรักษาผลขาดทุนให้น้อยกว่าตลาดโดยรวมได้

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่อาจ Underperform ตลาดในช่วงดอกเบี้ยขาลง ได้แก่

กลุ่มพลังงาน (Energy) แม้ว่ากลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานจะเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ แต่ก็มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอก ทำให้ในช่วงที่ดอกเบี้ยเป็นขาลง ซึ่งมักบ่งบอกถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวหรืออยู่ในภาวะถดถอย ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือนอาจลดลงตามไปด้วย

กลุ่มเทคโนโลยี (IT) ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ธุรกิจอาจชะลอการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ผู้บริโภคอาจลดการใช้จ่ายในสินค้าที่ไม่จำเป็น เช่น สมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ ส่งผลให้ยอดขายและการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีชะลอตัวลง

นอกจากนี้ หุ้นเทคโนโลยีหลายบริษัทมักมีอัตราส่วน P/E Ratio ที่สูง สะท้อนถึงความคาดหวังของนักลงทุนต่อการเติบโตในอนาคตที่สูงมาก เมื่อเศรษฐกิจถดถอยและการเติบโตชะลอตัว นักลงทุนอาจปรับลดการประเมินมูลค่าของหุ้นกลุ่มนี้ ทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวลงมากกว่ากลุ่มอื่น

——————————————————————————————————-

 
 

Finnomena เปิดตัวหนังโฆษณาใหม่ เตือนภัยนักลงทุนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ