PLUS เล็ง H2/66 ฟื้น จากกำลังผลิต PET-ออกผลิตภัณฑ์ใหม่

HoonSmart.com>>“โรแยล พลัส” หรือ PLUS เล็งผลงานครึ่งหลังปี 66 ฟื้นตัวดี จากรับรู้กำลังการผลิตใหม่จากโครงการ Pet Aseptic และแนวโน้มการส่งออกคาดว่ายังแข็งแกร่งต่อเนื่อง พร้อมเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ เปิดงบไตรมาส 2/66 รายได้รวม 428.1 ล้านบาท กำไรสุทธิ 61.6 ล้านบาท

นายพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรแยล พลัส (PLUS) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 66 บริษัทคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวที่ดีขึ้น จากการรับรู้กำลังการผลิตใหม่จากโครงการ Pet Aseptic (สายการผลิตขวดพลาสติก PET) และแนวโน้มการส่งออกคาดว่ายังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ส่วนแนวโน้มราคาต้นทุนวัตถุดิบมองว่าไม่ได้แตกต่างจากปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 3/66 บริษัทมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อกระตุ้นยอดขายด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยบวกให้ผลประกอบการของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัว อีกทั้งมีปัจจัยหนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ประกอบกับแผนการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายของลูกค้าในสหรัฐฯ มีทิศทางที่ชัดเจนขึ้นส่งผลให้คำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้

“บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากกำลังการผลิตใหม่จากโครงการ Pet Aseptic ล็อตแรกภายในไตรมาส 3/66 โดยปัจจุบันมีคำสั่งซื้อของลูกค้ารองรับกำลังการผลิตในสายการผลิตขวด PET ไว้บางส่วนแล้ว จะหนุนรายได้ให้เติบโตและต้นทุนทรงตัว” นายพลแสง กล่าว

สำหรับผลประกอบการในงวดไตรมาส 2/66 บริษัทฯ มีรายได้รวม 428.1 ล้านบาท ลดลงจํานวน 15.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.4เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากลูกค้าทวีปอเมริกาอยู่ระหว่างการเจรจาเงื่อนไขการขยายช่องทางการจัดจําหน่าย ลูกค้าจึงมีการชะลอการนําเข้าสินค้า จึงทําให้แผนการขายไปทวีปอเมริกายังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนการขายสินค้าในภูมิภาคอื่นๆช่วงไตรมาสที่ 2 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผนกลยุทธ์การขยายฐานลูกค้าทางการตลาด โดยเฉพาะทวีปยุโรปมีการเติบโตสูงถึง245.6%, ทวีปออสเตรเลียเติบโต 162.1%, ตะวันออกกลางโต 39.4%, ทวีปเอเชียเติบโต 37.2% และทวีปแอฟริกาเติบโต 26.4%ทําให้รายได้จากการขายสินค้าของบริษัทเพิ่มขึ้นจํานวน 179.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 74.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

บริษัทฯ มีกําไรสุทธิ สําหรับไตรมาสที่ 2/66 อยู่ที่ 61.6 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนกําไรสุทธิร้อยละ 14.4 ของรายได้รวม ลดลงจํานวน 15.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 20.3 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน