กลุ่มปตท.กำไรเพียง 37,492 ลบ.คาดฟื้น Q3 เชียร์ซื้อ IRPC-OR-TOP ถือ PTTGC

HoonSmart.com>>กลุ่มปตท.(PTT) ผลงานไตรมาส 2/66 กำไรเพียง 37,492.1  ล้านบาท ร่วงลง-61% YoY หดตัว QoQ  โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่น-ปิโตรเคมีแย่สุด เล็งไตรมาส 3 ฟื้นตัวเด่น จากค่าการกลั่น-ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูง มีกำไรสต็อก แม้สเปรดปิโตรฯจะยังไม่ดีขึ้นถ่วง PTTGC นักวิเคราะห์แนะถือ-ซื้อ ส่วน TOP, OR, IRPC เชียร์ ยกไทยออยล์เด่นสุด  ลุ้นกำไรถึง 5-6 พันล้านบาท  ปตท. ยังมีแผนลงทุนทั้งปี  93,598 ล้านบาท

7 บริษัทในกลุ่มปตท.(PTT) เปิดผลงานไตรมาสที่ 2/2566 ออกมาตามคาด มีกำไรรวม 37,492.1  ล้านบาท หายไป -59,740 ล้านบาท ทรุดลง  -61.44% เทียบกับกำไร 97,232.1 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน และรวม 6 เดือนแรกปีนี้มีกำไร 93,658.2 ล้านบาท ลดลง 54,323.5 ล้านบาท หรือ  -36.71% เทียบกับที่ทำได้จำนวน 147,981.7 ในปีก่อน   โดยปตท.มีกำไร 2 หมื่นล้านบาท ส่วน IRPC ขาดทุน 2,245.8 ล้านบาท มีขาดทุนสต๊อกสุทธิ 961 ล้านบาท และ PTTGCขาดทุนมากถึง 5,591.4 ล้านบาท ขาดทุนสต๊อกและปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 2,659 ล้านบาท  อย่างไรก็ตามราคาหุ้นในกลุ่มตีกลับขึ้นมารับผลงานเป็นไปตามคาดการณ์ ยกเว้น GPSC ผิดหวัง กำไรเพียง  309 ล้านบาท ลดลง 54.76% กดราคาหุ้นร่วง 2 บาทหรือ -3.67% ปิดที่ 52.50 บาท

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้ 1,534,755 ล้านบาทและกำไรสุทธิจำนวน 47,962 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 4% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ตามราคาปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในตลาดโลกที่ปรับลดลง โดยกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นปรับลดลงจากกำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ลดลงจาก 13.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เหลือ  6.3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล  รวมทั้งผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของธุรกิจที่ ปตท. ดำเนินการเอง เช่น กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ก็ลดลงจากธุรกิจโรงแยกก๊าซฯ เนื่องจากต้นทุนค่าเนื้อก๊าซฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาก๊าซฯ ในอ่าวไทย ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยลดลงทุกผลิตภัณฑ์ รวมถึงปริมาณการขายที่ลดลง แม้ว่าผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ลดลงและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น โดย ปตท. ยังคงรักษาระดับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

นายอรรถพลกล่าวว่า ในปี 2566 ปตท. ยังมีแผนลงทุนจำนวน 93,598 ล้านบาท และเดินหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการปลูกป่าเพิ่มเติมโดย ปตท. 1 ล้านไร่ ร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. อีก 1 ล้านไร่ ให้สำเร็จภายในปี 2573  เมื่อรวมกับพื้นที่ป่าเก่า 1 ล้านไร่ ของ ปตท. แล้ว รวมกว่า 3 ล้านไร่  จะมีสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 4.15 ล้านตัน/ปี  ทำหน้าที่ให้บริการทางนิเวศ (Ecosystem service) เป็นแหล่งต้นน้ำ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ ช่วยสร้างทุนทางสังคมและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนคิดเป็นมูลค่าหลายล้านบาทต่อปีอีกด้วย

นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลงานไตรมาส 2/66 ของกลุ่ม PTT (ยังไม่รวม PTT) ประกอบด้วย PTTEP, IRPC, PTTGC, TOP, GPSC, OR รวมแล้วจะมีกำไรสุทธิ 17,382 ล้านบาท -39% QoQ และ -70% YoY โดยกลุ่มธุรกิจโรงกลั่น และปิโตรเคมีแย่สุด ขาดทุนถึง -6,720 ล้านบาท จากขาดทุนรายการพิเศษมากขึ้น มาร์จิ้นก็แย่ โดยค่าการกลั่น และสเปรดปิโตรเคมี ต่างปรับตัวลง แต่ธุรกิจจะฟื้นตัวแรงในไตรมาส 3/66 จากราคาน้ำมัน และค่าการกลั่นปรับตัวขึ้น ทำให้สองธุรกิจนี้ดีขึ้น และยังมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน แต่สเปรดปิโตรเคมียังไม่ดีอยู่

ดังนั้นจึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น TOP ราคาเป้าหมาย 68 บาท คาดไตรมาส 3 มีโอกาสทำกำไรได้ถึง 5-6 พันล้านบาท จากกำไรสต็อกน้ำมัน และค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นเด่น เชื่อว่านักวิเคราะห์ฯจะทยอยปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้น นอกจากนี้ แนะนำ”ซื้อ”หุ้น PTTEP ราคาเป้าหมาย 182 บาท จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ส่วนหุ้น PTT แนะนำ”ซื้อ”เป้าหมาย 41 บาท สำหรับหุ้น IRPC แนะนำ”ถือ”เป้าหมาย 2.20 บาท, หุ้น PTTGC  “ถือ” เป้าหมาย 41 บาท เช่นเดียวกับหุ้น GPSC ราคาเป้าหมาย 70 บาท

สำหรับ OR ผลงานไตรมาส 2/66 ปรับตัวลงตามคาด จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง ซึ่งยอดขาย และมาร์จิ้น ก็ปรับตัวลงด้วย รวมถึงขาดทุนรายการพิเศษมาก แต่ธุรกิจ Non-Oil อะเมซอน คาเฟ่ ปรับตัวดีขึ้น

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนำ”ซื้อ”หุ้นOR ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 25 บาท/หุ้น มองว่าราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้ในระยะกลางจากกำไรปกติที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะกลับมาเติบโตเด่น YoY ในครึ่งปีหลัง, สภาวะอากาศที่ผันผวนจะส่งผลให้ราคา Kerosene ปรับตัวสูงขึ้น (หนุนการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นของน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน), ปัจจุบัน OR มีเงินสดในมืออยู่ราว 5.9 หมื่นล้านบาท (ราว 4.92 บาท/หุ้น) ช่วยจำกัด Downside และคาด OR ได้รับผลกระทบจำกัดจากนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเนื่องจากสถานีบริการส่วนใหญ่เป็นแบบ DODO (Dealer-Owned-Dealer-Operated)

เบื้องต้นคาดกำไรปกติครึ่งปีหลังมีโอกาสกลับมาเติบโตสูง   จากค่าการตลาดน้ำมันรวมที่ฟื้นตัวกลับขึ้นมาอยู่ในระดับ 0.90-1.00 บาท/ลิตร จากค่าเฉลี่ยที่ราว 0.58 บาท/ลิตรในช่วงครึ่งหลังปี 65 หลัง กบง. มีมติให้ปรับค่าการตลาดน้ำมันกลับสู่ระดับปกติ รวมถึงปริมาณขายน้ำมันที่มีแนวโน้มเติบโต YoY จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ขณะที่ครึ่งปีหลังคาดกำไรปกติทรงตัวได้จากค่าการตลาดที่มีแนวโน้มทรงตัว

ส่วนหุ้นบริษัทไออาร์พีซี (IRPC) แนะ”ซื้อเก็งกำไร”คงราคาเหมาะสม 2.70 บาท แนวโน้มไตรมาส 3 ฟื้นตัว QoQ และ YoY จากขาดทุนสูงในไตรมาส 2 และไตรมาส 3/65 ปัจจัยหนุนหลักมาจากธุรกิจการกลั่นที่ไตรมาส 3 ถึงปัจจุบัน ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของ Crack Spread น้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดจากการหยุดชะงักของโรงกลั่นหลายแห่ง (แผนปิดซ่อมบำรุงและผลกระทบจาก Heat Wave) และมีโอกาสบันทึกกำไรสต็อกน้ำมันจำนวนมาก

อย่างไรก็ดี ครึ่งปีแรกขาดทุนสุทธิสูง 1.9 พันล้านบาท ขณะที่การฟื้นตัวครึ่งปีหลังยังไม่ชัดเจน จึงคงประมาณการขาดทุนสุทธิปี 2566 ที่ 761 ล้านบาท

ด้านราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน P/BV 0.6 เท่า Discount เกือบ -2.0 SD ถือว่า Downside จำกัด ทำให้ระยะสั้นหุ้นอาจเห็นการฟื้นตัวตามทิศทางธุรกิจการกลั่น

หุ้น บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) แนะนำ”ซื้อ”ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 67 ใหม่ที่ 47 บาท ปัจจุบันมูลค่าหุ้นไม่แพง ซื้อขายบน P/BV 0.6 เท่า คิดเป็นระดับ -2.0 SD และ ณ ราคาเหมาะสมใหม่หุ้นยังมี Upside Gain สูง 17.5% สำหรับไตรมาส 3 แม้ธุรกิจปิโตรเคมียังไม่ฟื้นตัวจากไตรมาส 2 อย่างมีนัยสำคัญ แต่คาดจะสามารถพลิกเป็นกำไรสุทธิได้บาง ๆ หนุน จากค่าการกลั่นที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว, โอกาสบันทึกกำไรสต็อกน้ำมัน, ขาดทุน FX ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (หรืออาจเป็นกำไร FX)เนื่องจากไตรมาส 3 ถึงปัจจุบัน เงินบาทพลิกเป็นแข็งค่า, กระบวนการผลิตโอเลฟินส์ได้ปัจจัยบวกจากสัดส่วนการใช้วัตถุดิบก๊าซ (อัตรากำไรสูงกว่า Naphtha) เพิ่มขึ้นจาก 35% ในไตรมาส 2/66 เป็นราว 40% ในช่วงครึ่งหลังปี 66 และ 50% ในปี 67 ตามแผนเร่งผลิตก๊าซในอ่าวไทยโดยเฉพาะแหล่งเอราวัณ

งบครึ่งแรกปี 66 อ่อนแอกว่าคาด และตลาดปิโตรเคมียังฟื้นตัวช้าตามเศรษฐกิจจีนที่น่าผิดหวังปรับคาดการณ์ปี 2566 ลงเป็นขาดทุน 4.7 พันล้านบาท และปี 2567 เป็นกำไร 6.7 พันล้านบาท แต่ 1-3 เดือนข้างหน้ามอง TOP, SPRC น่าสนใจกว่า เพราะรับอานิสงส์ค่าการกลั่นเต็มที่ไม่มีปิโตรเคมีถ่วง

ด้านหุ้นบริษัท ไทยออยล์ (TOP) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 60 บาท จากมูลค่าหุ้นไม่แพง, งบไตรมาส 2 ดีกว่าคู่แข่ง และกำไรไตรมาส 3  เร่งตัวขึ้นแบบ V-Shape, คาดเงินปันผลงวดครึ่งแรกปี 66 ที่ 0.85 บาท/หุ้น Yield 1.6% ทั้งนี้ คาดกำไรไตรมาส 2จะเป็นจุดต่ำสุดของปี ส่วนไตรมาส 3 จะฟื้นตัวได้ดีจากค่าการกลั่น และการบันทึกกำไรสต็อกน้ำมัน มองข้ามไปช่วงไตรมาส 4/ ค่าการกลั่นมีปัจจัยบวกจากโอกาสเกิด Supply Disruption ของฤดูมรสุมบริเวณอ่าวเม็กซิโกในสหรัฐฯ และอุปสงค์น้ำมัน Middle Distillate ที่เพิ่มขึ้นก่อนการเข้าสู่ฤดูหนาว

กำไรสุทธิครึ่งแรกปี 66 คิดเป็น 43% ของทั้งปี แต่แนวโน้มครึ่งหลังปี 66 เร่งตัวขึ้น จึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 66 ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท (-59% YoY)

หุ้น GPSC แนะนำ”ซื้อ”ราคาเหมาะสม 75 บาท แม้งบไตรมาส 2/66 อ่อนแอกว่าโรงไฟฟ้าคู่แข่ง แต่หากนับตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 ราคาหุ้น GPSC ปรับตัวลง -20% Underperform คู่แข่งอย่าง BGRIM และ GULF ที่ -6% และ -7% ตามลำดับ ถือว่าสะท้อนข่าวลบไปมากแล้ว มองข้ามไปช่วงที่เหลือของปี 2566 ถึงปี 2567 ผลประกอบการจะเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัวที่ดี

ทั้งนี้ เชื่อว่าแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังปี 66 จะเร่งตัวขึ้นทั้ง HoH และ YoY อย่างมีสาระสำคัญ หนุนจากการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้นสู่ระดับใกล้เคียงช่วงปกติ (Margin ของโรงไฟฟ้า SPP น่าจะฟื้นตัวเป็นระดับ 1 บาท/หน่วย เทียบกับช่วงครึ่งแรกปี 66 อยู่ต่ำเพียง 0.6 บาท/หน่วย) ส่วนปี 2567 หุ้นยังเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจจากการฟื้นตัวของอัตรากำไรสู่ระดับปกติ อีกทั้งยังได้ประโยชน์จาก Theme การลงทุนหุ้นปลอดภัย (Defensive) และ Bond Yield ลดลง

ด้านบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น TOP ประเมินราคาเป้าหมายใหม่ที่ 72 บาท ทิศทางค่าการกลั่นที่เป็นขาขึ้นจะช่วยหนุนราคาหุ้น โดยคาดกำไรไตรมาส 3/66 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ตามค่าการกลั่นที่พุ่งขึ้นจากความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และอุปทานที่ตึงตัว

หุ้น PTTGC แนะนำ “ถือ” แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66 จะปรับตัวดีขึ้นQoQ ด้วยแรงหนุนจากธุรกิจโรงกลั่นตามค่าการกลั่นที่พุ่งขึ้นแรง แต่ภาพรวมยังถูกถ่วงด้วยธุรกิจปิโตรเคมี ซึ่งราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นกดดันให้ราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นตาม ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์ยังถูกจำกัดการปรับขึ้นจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวช้าและอุปทานใหม่ ซึ่งกระทบสเปรดปิโตรเคมี แม้ Valuations อยู่ในโซนต่ำมาก แต่มองว่าหุ้นโรงกลั่นอย่าง SPRC และ TOP น่าสนใจมากกว่าตามทิศทางกำไรที่จะเพิ่มขึ้นได้โดดเด่นกว่า

บล.พาย แนะนำ”ซื้อ”หุ้น PTTEP ภาพรวมไตรมาส 3 ยังเป็นบวก จากแนวโน้มปริมาณขายที่ปรับดีขึ้น โดยผู้บริหารให้แนวทางไว้ที่ 470kBOED (+6% QoQ) ขณะที่ราคาขายก็มีโอกาสปรับสูงขึ้นตามราคานํ้ามันดิบดูไบที่ขึ้นไปแตะ 84 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนก.ค. หรือขึ้นไปกว่า 6.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากค่าเฉลี่ยในไตรมาส 2/66 ราคานํ้ามันที่ปรับขึ้นช่วงล่าสุดเป็นผลจากการที่ OPEC+ ขยายกรอบการลดปริมาณผลิตไปถึงเดือนส.ค (ลด 5.2 ล้านบาร์เรล/วันคิดเป็น 5% ของอุปทานโลก) จึงคาดว่า OPEC+ จะคุมอุปทานนํ้ามันดิบต่อเนื่องเพื่อรักษาราคานํ้ามันให้สูงกว่ากรอบ 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งจะเป็นบวกกับกลุ่มบริษัทด้านการสํารวจและผลิต (E&P)

พร้อมปรับเพิ่มประมาณการกําไรสุทธิปี 2566-2567 ขึ้น 30% และ 45% เป็น 7.66 หมื่นล้านบาท และ 8.21 หมื่นล้านบาท ตามลําดับ หนุนจาก 1) การปรับเพิ่มสมมติฐานราคานํ้ามันดิบ 2) ปริมาณขายปี 66 ที่สูงขึ้น และ 3) อัตราภาษีที่ลดลง