กูรู เคาะเป้า GFC 9-11.30 บาท 2 สาขาใหม่หนุนการเติบโต

HoonSmart.com >> 5 โบรกเกอร์ ประสานเสียงเคาะราคาเป้าหมาย GFC น้องใหม่ IPO   9-11.30 บาท  มองแนวโน้มการเปิด-ขยายสาขาใหม่  “สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และ คลินิกสาขาอุบลราชธานี” หนุนผลงานปี 67 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์  ประเมินราคาเป้าหมายที่เหมาะสมของ บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์  (GFC)  ที่ราคา 11.3 บาทต่อหุ้น อ้างอิง P/E ปี 2567 ที่ 28 เท่า คาดการณ์กำไรสุทธิเติบโตในปี 2566 -2568 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 21.3% , คาดการณ์อัตรากำไรสุทธิของ GFC จะเพิ่มขึ้นจาก 16% ในปี 2566 เป็น 21% ในปี 2568

นอกจากนี้ การขยายสาขาใหม่ “สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และ คลินิกสาขาอุบลราชธานี” รองรับการให้บริการเพิ่มขึ้น ผลักดันการเติบโตของ GFC เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ประเมินราคาเหมาะสม “GFC” ในปี 2567 ที่ 10.10 บาท ต่อหุ้น

ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่า รายได้จากการดำเนินงานของ GFC ในช่วงปี 2566-2567 จะอยู่ที่ระดับ 312 ล้านบาท และ 479 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 32% ต่อปี จากปัจจัยสนับสนุน คือ

1) คลินิกสาขาเดิมพระราม 3 เติบโตตามแนวโน้มจำนวนคนไข้ที่เข้ามารับบริการเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี

2) การขยายคลินิก สาขาใหม่ 2 แห่ง คือ คลินิกสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และคลินิกสาขาอุบลราชธานี บนสมมติฐาน %GPM คาดที่ระดับ 43.8% และ 45.6% ตามลำดับ (ปี 2565 อยู่ที่ระดับ 47.1%) ลดลงจากค่าเสื่อมราคาของอาคารใหม่ (คลินิกสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9)

และปี 2567 มีค่าใช้จ่ายปรับลดลง หลังจากนำเงินเพิ่มทุนไปจ่ายชำระคืนสถาบันการเงิน ส่งผลให้เราคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2566 – 2567 ที่ 49 ล้านบาท ลดลง 25%YoY และ 82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% YoY ตามลำดับ หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 12% ต่อปี

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน  ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ GFC ปี 2024 ที่ 10.10 บาทต่อหุ้น คาดปี 2023  มีกำไรสุทธิ 52 ล้านบาท ลดลง 20% (y-y) เนื่องจากการเพิ่มจำนวนบุคลากรและพนักงาน รองรับการเปิดสาขาพระราม 9 ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 18% (y-y) และค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น 38% (y-y) เพิ่มขึ้นกว่ารายได้ 13% (y-y)

รวมทั้งคาดการณ์ Gross margin 45% ส่วนปี 2024-2025 คาดกำไรสุทธิ 77 ล้านบาท และ 91 ล้านบาท ตามลำดับ หรือเติบโตเฉลี่ยต่อปี 32% CAGR จากปัจจัยสนับสนุน 1) รายได้เติบโตต่อปีเพิ่มขึ้น 24% จากการเปิด 2 สาขาใหม่ ทำให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น

2) ปี 2025 เริ่มเห็นผลบวก Economies of scale ของผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ Gross margin ที่ 45.9% ดีขึ้นจากปี 2024 และ 3) ค่าใช้จ่ายการเงินลดลงตามเงินกู้สถาบันการเงินลดลงในปี 2024 -2025

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส  ให้ราคาเหมาะสม 10 บาท ( บน EPS 0.39 บาท ปี 2024) ด้วยวิธีเปรียบเทียบ Relative PE ของปี 2024 กับค่าเฉลี่ยของกลุ่มโรงพยาบาลที่มีคลินิก IVF เกือบทุกแห่ง และบริษัทต่างประเทศที่ทำคลินิก IVF ซึ่ง เทรด P/E ปี 2024 ทีี่ระดับ 20.5-25.5 เท่า

แม้ GFC เป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่หากเทียบอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของ GFC ปี 2024 ที่ 45% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10-15% ของหุ้นกลุ่ม ดังนั้นราคาเหมาะสมควรใกล้เคียงค่าเฉลี่ยกลุ่มโรงพยาบาลของไทยที่ระดับ P/E 25.5 เท่า พร้อมทั้งได้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2024 ของ GFC เติบโต 45% จากการเปิดคลินิกสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และ

คาดว่าบริษัทจะยังคงศักยภาพในการเติบโตในปี 2023 – 2024 ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัย หนุนหลักมาจากการเปิดคลินิกสาขาใหม่ในไตรมาส 4/2566 และสาขาอุบลราชธานี ในไตรมาส 1/2567 รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีรายได้บริการตรวจโคโมโซม และฝากไข่เพิ่มมากขึ้นหลังมีขยาย LAB เพิ่มขึ้น

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย)  ประเมินราคาเหมาะสมที่ 9 บาทต่อหุ้น อิง 2024E PER ที่ 25 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม รพ. เนื่องจากการรักษาภาวะมีบุตรยาก มีความซับซ้อน และต้องการความใส่ใจมากกว่าการรักษาโรคทั่วไป รวมถึงมีอัตราในการทำกำไรมากกว่ารพ.ทั้วไป

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยได้ประเมินกำไรปี 2023-2024 อยู่ที่ 51 ล้านบาท ลดลง 22% (YoY) และ 78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% (YoY) จากรายได้ปี 2023 -2024 เติบโตเพิ่มขึ้น 15% และ 37% (YoY) จากปัญหาของสุขภาพของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ที่มีความเสี่ยงต่อการมีบุตรยากเพิ่มขึ้น ทำให้จำนวนคนไข้เข้ารับการรักษามากขึ้นในขณะที่รายได้เติบโตแต่ในปี 2023 กำไรถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายของพนักงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงจากการเตรียมตัวขยายสาขาในช่วงปลายปี 2023

เชื่อว่าบริษัท ฯ จะมีกำไรจะกลับมาเติบโตในปี 2024 จากการขยายฐานคนไข้ทั้งในกรุงเทพฯ และอุบลราชธานี ที่สามารถรองรับทั้งคนไข้ในประเทศ และต่างประเทศ อาทิ จีน, อินเดีย, ยุโรป, ลาว และกัมพูชา ได้มากขึ้น