HoonSmart.com >> JKN รับทรัพย์จากการให้สิทธิใช้แบรนด์ Miss Universe มูลค่ารวมกว่า 400 ล้านบาทประเดิมเปิดตัวผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 9 รายการ เจาะตลาดสหรัฐในปีนี้ ก่อนลุยขยายตลาดตะวันออกกลางและภูมิภาคอาเซียนในปี 2567
แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) เปิดเผยว่า บริษัท ฯ ให้สิทธิ์ใช้แบรนด์ Miss Universe (MUO) แก่บริษัท Miss Universe Skincare & Spa ที่จัดตั้งขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้โมเดลธุรกิจ Skincare&Spa เป็นธุรกิจตัวแรก
การให้สิทธิ์ใช้แบรนด์ดังกล่าว JKN ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินสด 10 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือประมาณ 350 ล้านบาท รวมถึงได้รับหุ้นในบริษัทที่จัดตั้งขึ้น 30% คิดเป็นมูลค่า 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือประมาณ 52.50 ล้านบาท ซึ่งส่งผลดีต่อรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
แอน-จักรพงษ์ กล่าวว่า การต่อยอดขยายธุรกิจองค์กรนางงามจักรวาล หรือ MUO ไปสู่ผลิตภัณฑ์และบริการ ผ่านรูปแบบให้สิทธิแบรนด์ Miss Universe กับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจ เป็นอีกหนึ่งโมเดลธุรกิจ JKN ใช้ในการต่อยอด MUO เพื่อรองรับแผนขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ บริษัท Miss Universe Skincare & Spa เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพสูงในตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรก โดยคัดสรรวัตถุดิบที่เป็นสารสกัดจาก 7 ชนิดจาก 7 ทวีปทั่วโลก (MU7C+) เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง จับกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัย ทุกไลฟ์สไตล์ ที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงในการดูแลผิวอย่างครอบคลุมและหลากหลาย
เริ่มต้นผลิตภัณฑ์ 9 รายการ เช่น Fresh Face Milky Cleanser, Bright Light Toner, Dewlight Glow Daily Moisturizer, Golden Glow Face Serum, In the Spotlight Sunscreen, Satin & Spa Micro Exfoliant Power, Diamond Glow Mask, Light Up Eye Cream และ Dream Big Night Cream
นายราอูล โรชา ประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Legacy Holding Group และผู้ร่วมทุนของ Miss Universe Skincare กล่าวว่า Miss Universe เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและศักยภาพสูงในการก้าวสู่การเป็นแบรนด์หนึ่งในแวดวงความงามระดับโลก จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีคุณภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าทั่วโลก
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Miss Universe Skincare ทั้ง 9 รายการ อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) คาดวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการภายในไตรมาส 4 ปีนี้ ก่อนจะขยายตลาดไปยังประเทศในตะวันออกกลางและภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประเทศไทยในต้นปี 2567
