หุ้นมองตั้งรัฐบาล 212 เสียงไม่ปึ๊ก เตือนนักลงทุนอย่าเพิ่งลุยซื้อ

HoonSmart.com>>พรรคภูมิใจไทยจับมือพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล ด้วยเสียงตั้งต้น 212 เสียง หุ้นมองเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ไม่ลงตัวง่าย  นักลงทุนอย่าเพิ่งผลีผลามลุย แบงก์เด่นหลังปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกระลอก บล.หยวนต้าชูหุ้นเด่นได้แก่ KBANK, SCB, BBL, CPALL, THCOM, STPI  ด้านตลาดหลักทรัพย์มองหุ้นไทยถูก ปัจจัยใน-ต่างประเทศหนุน 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ตอบรับการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยด้วยเสียงตั้งต้น 212 เสียง มาจากเพื่อไทย 141 เสียง และภูมิใจไทย 71 เสียง อยู่ภายใต้หลักการสำคัญ 3 เรื่อง คือ ไม่แตะต้องมาตรา 112 , ไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และ ไม่มีพรรคก้าวไกล ส่วนการเชิญพรรคอื่นเข้าร่วมด้วยอยู่กับดุลยพินิจของพรรคเพื่อไทย

สำหรับการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 นั้นพรรคภูมิใจไทยพร้อมปฎิบัติตามข้อเสนอของพรรคเพื่อไทย

ด้านนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จะเดินหน้าหาเสียงสนับสนุนให้เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาเบื้องต้นได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว  ยืนยันว่าจะไม่มี 2 ลุงร่วมในรัฐบาล แต่ไม่ปฏิเสธหากมี ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติมาโหวตสนับสนุนให้กับแคนดิเดทของพรรคเพื่อไทย เพื่อผ่าทางตัน

หุ้นวันที่ 7 ส.ค.2566 ดัชนีผันผวนขึ้นลงกว่า 20 จุดจากที่ติดลบกว่า 10 จุด ดีดขึ้นกว่า 9 จุดในภาคบ่าย แต่มาปิดที่ระดับ 1,532.51 จุด เพิ่มขึ้น 2.05 จุด หรือ +0.13% มูลค่าซื้อขาย 46,462.36 ล้านบาท โดยนักลงทุนไทยซื้อกลุ่มเดียว 1,012.76 ล้านบาท สวนทางต่างชาติขาย  394 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 573.81 ล้านบาท

ส่วนค่าเงินบาทปิดที่ 34.80 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าตามภูมิภาค เนื่องจากดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่า

กลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวขึ้นนำตลาด ได้แก่ BBL  ราคาปิดที่ 172.50  บาท บวก 4.50 บาทหรือ+2.68% หลังจากธนาคารทหารไทยธนชาต(TTB)ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากสูงสุด 0.50%คาดธนาคารอื่นก็ปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วยส่งผลให้รายได้ดอกเลี้ยสุทธิดีขึ้นหนุนกำไรครึ่งปีหลัง รวมถึงหุ้นการเมืองรับข่าว 2 พรรคจับมือจัดตั้งรัฐบาล และตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.ค.2566 เพิ่มขึ้น 0.38% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 0.64-0.66% ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีโอกาสคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้า สนับสนุนธุรกิจที่มีเงินกู้สูง เช่น ไฟฟ้าและเช่าซื้อ มีแนวโน้มดีขึ้น

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้อ่อนไหวกับข่าวการจัดตั้งรัฐบาล โดยดัชนีฯในช่วงบ่ายได้พลิกเป็นบวกจากช่วงเช้าที่ติดลบไปกว่า 10 จุด หลังพรรคเพื่อไทย จับมือกับพรรคภูมิใจไทย นัดแถลงการจัดตั้งรัฐบาลในช่วงเย็นวันนี้ ซึ่งจะต้องรอดูนโยบายจะออกมาเป็นอย่างไร โดยจะจัดตั้งรัฐบาลในแบบไม่มีพรรคก้าวไกล และไม่มีลุง จะเอาคะแนนเสียงมาจากไหน มองแล้วอาจไม่มีเสถียรภาพจากเสียงที่ไม่เพียงพอ แล้วสว.จะโหวตให้หรือไม่ ก็ต้องรอดูต่อไปอีก จึงมองว่าการเมืองคงจะยังไม่จบเร็ว

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ ส่วนตลาดในยุโรปติดลบเล็กน้อย ในช่วงรอดูเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่จะออกมาในวันที่ 10 ส.ค.นี้ และรอดูเงินเฟ้อของจีนในสัปดาห์หน้า

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (8 ส.ค.) นายถนอมศักดิ์ กล่าวว่า ตลาดคงจะแกว่งในกรอบ โดยมีแนวรับ 1,520-1,515 จุด แนวต้าน 1,540-1,545 จุด

บล.ทิสโก้ ประเมินพรรคเพื่อไทยยังโดดเดี่ยว ยังไม่ประกาศเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ว่าพรรคไหนร่วมด้วยซึ่งยังไม่ชัดเจน รวมถึงการโหวตนายก คุณเศรษฐา เริ่มไม่แน่นอน จากการมีข่าวเรื่องเลี่ยงภาษีตอนเป็น CEO ของ SIRI ทำให้มีกระแสว่า ส.ว. อาจจะไม่โหวตให้

นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจับมือกับพรรคภูมิใจไทยเป็นเพียงก้าวแรกในการจัดตั้งรัฐบาล คงจะยังไม่จบเร็วเป็นแค่จุดเริ่มต้น หลังไม่จับมือกับพรรคก้าวไกลแล้ว จากนี้ไปก็จะค่อย ๆ วิ่งไป ซึ่งพรรคเพื่อไทยคงจะไม่ไปเอาลุงมาร่วมด้วย อาจส่งไม้ต่อให้พรรคภูมิใจไทยไปเอาลุงมาร่วมด้วยแทน ดังนั้นเวลานี้ลุงก็มีโอกาสมากขึ้นในการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ดี ตลาดคงจะไปได้ไม่ไกลเพราะการเมืองยังไม่จบ

บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดการจับมือสองพรรคจัดตั้งรัฐบาล เป็น Sentiment บวกอ่อนๆ ทำให้ให้มี Technical Rebound ได้บ้าง และหากมีพัฒนาการข่าวการจับมือกับพรรคอื่นๆเพิ่มเติม และมีแนวโน้มได้เสียงโหวตครับ 375 เสียง จะหนุนให้ดัชนีมีโอกาสฟื้นตัว

บล.หยวนต้า(ประเทศไทย)คาดว่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นหุ้นใน กลุ่มธนาคาร,ค้าปลีกและสื่อสาร หุ้นเด่นได้แก่ KBANK,SCB,BBL,CPALL,THCOMและSTPI

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มหุ้นไทยดีขึ้น หลังจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยไปที่ 3.5% จากที่เคยประมาณการไว้ที่ 3.3% ในเดือนเม.ย. ส่วนปีหน้าก็มองเติบโตกว่าปีนี้ สวนทางนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดชะลอ  นอกจากนี้ราคาน้ำมันปรับตัวลงยังเป็นดีต่อกำไรบจ.

ปัจจุบันหุ้นไทยยังถูก เมื่อพิจารณา forward EPS  ค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้ผู้ลงทุนบุคคลและสถาบันไทยซื้อสุทธิในเดือนก.ค.ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6  ส่วนผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 6 จำนวน 12,558 ล้านบาท รวม 7 เดือนขายสุทธิ มากกว่า 1 แสนล้านบาทชดเชยการไหลเข้ากว่า 2 แสนล้านบาทเมื่อปี 2565ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 51% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 ส่วนรายย่อยไทยแม้ว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายลดลงจากช่วงต้นปี แต่บัญชีที่เคลื่อนไหวหลังโควิดเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก 5 ล้านบัญชี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนโควิด ที่ 3ล้านบัญชี

ส่วนปัจจัยต่างประเทศ คาดธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย คาดเศรษฐกิจสหรัฐเสี่ยงถดถอยน้อยลง จะต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจจีน คาดว่าจะออกมาตรการกระตุ้น ส่งผลดีต่อหุ้นไทย

ทั้งนี้ณ สิ้นเดือนก.ค. 2566 ดัชนีปิดที่ 1,556.06 จุด เพิ่มขึ้น 3.5% จากเดือนก่อนหน้าตามภูมิภาค และปรับลดลง 6.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มการเงินโดดเด่นเพิ่มขึ้น 15%  ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 46,002 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 25.3% รวม  7 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 56,873 ล้านบาท

สำหรับหุ้นเข้าใหม่ในเดือนก.ค.2566 มีบริษัท แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป (PHG) เข้าซื้อขายใน SET  นับตั้งแต่ต้นปีมีทั้งหมด 21 บริษัท แบ่งเป็น  SET 9  บริษัท และ mai  12 บริษัท โดยมี 46 บริษัทรอเข้าจดทะเบียน