HoonSmart.com>>FETCO มั่นใจหุ้นไทยไปต่อคาดสิ้นปี SET อยู่ที่ 1,460 จุด อาจมีปรับขึ้น หลังเงินวายุภักษ์,ไทย อีเอสจี เข้าตลาด แนะตลท.พัฒนาสินค้า-สร้างซุปเปอร์สตาร์-หายูนิคอร์น เพิ่มอัพไซด์ให้ตลาดหุ้น แนะรัฐดันโครงการเก่าให้เสร็จก่อนเริ่มของใหม่ FETCO จะขอต่ออายุกองทุน SSF ออกไปอีก 5-10 ปี จากครบสิ้นปีนี้
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ( FETCO) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยพ้นจุดต่ำสุดแล้วและคาดว่ากำลังจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก โดยปีนี้จีดีพีน่าจะอยู่ประมาณ 3% บวกลบ เพราะอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงขาลง เชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปเดือนก.ย. จะทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้น การส่งออกของไทยจะฟื้นตัวตาม ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมาหลังการเมืองมีเสถียรภาพเพิ่มขึ้น ประกอบกับเงินลงทุนจากกองทุนวายุภักษ์ 1 จำนวน 1.5 แสนล้านบาท และกองทุนไทย อีเอสจี ที่จะมีเข้ามาช่วงที่เหลือของปี 6 หมื่นล้านบาท จะทำหุ้นไทยไปต่อได้
ช่วงที่ผ่านมาหุ้นไทยไปแรงเกินความคาดหมายล้วนเกิดจากความเชื่อมั่น โดยปัจจัยพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน ซึ่งสมาคมนักวิเคราะห์ฯ เคยมองไว้เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมาว่าดัชนีที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 1,460 จุด ปัจจุบันหลายอย่างเปลี่ยน อาจจะมีการปรับตัวเลขใหม่
ทั้งนี้ เม็ดเงินดังกล่าวน่าจะทำให้ความดึงดูดของตลาดหุ้นไทยอยู่ได้ระยะหนึ่ง การที่จะทำให้เศรษฐกิจ ตลาดหุ้นไทยไปต่อได้จะต้องพัฒนาสินค้าใหม่ สร้างซุปเปอร์สตาร์ใหม่จากบริษัทที่มีอยู่แล้วในตลาด เช่น MINOR และ IVL ที่ถือว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ดวงใหม่ และหาสตาร์ทอัพที่เป็นยูนิคอร์นเข้าตลาด เพื่อสร้างมูลค่าให้กับตลาดทุนไทย
ปัจจุบัน ความน่าสนใจของตลาดทุนไทยน้อยลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในตลาดทุน 30% คือ กลุ่มปิโตรเคมี ซึ่งเป็นธุรกิจโลกเก่า เป็นกลุ่มที่นักลงทุนต่างชาติไม่อยากลงทัน เพราะทำให้เกิดปัญหาโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นมาก เทรนด์ใหม่ของโบกจะส่งผลกระทบมากต่อกลุ่มปิโตรเคมี
รองลงมา คือ กลุ่มแบงก์ที่มีสัดส่วน 10% ในตลาดหุ้นไทย ก็มีอัพไซด์ไม่มากแล้ว เพราะกำลังถูกท้าทายจากฟินเทคที่ใช้เทคโนโลยี ทำให้เกิดการโอนเงินเร็ว โอนข้ามประเทศ ได้เร็ว
“จากกำไรบจ. 1 ล้านล้านบาท 50% เป็นของกลุ่มปิโตรเคมี และของกลุ่มแบงก์ มีอัพไซด์ไม่มาก ต่างชาติก็ไม่มา”ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวว่า การเมืองมีเสถียรภาพแล้ว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเดินหน้าได้ สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติกำลังจับตาคือ รัฐจะทำได้ตามนโยบายที่ประกาศออกมาไหม ถ้าทำได้เงินลงทุนก็จะเข้ามา โดยแนะนำให้เริ่มจากโครงการเก่าที่เริ่มต้นไว้ผ่านการประมูลไปแล้ว เช่นโครงการอีอีซี ท่าเรือ สนามบิน มอเตอร์เวย์ รถไฟ และแก้ไขกฏหมาย ไม่ต้องใช้เงินมาก ให้แล้วเสร็จ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ที่จะดึงดูดเงินลงทุนใหม่ๆ จากต่างประเทศเข้ามาได้ในระยะต่อไป
ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนธุรกิจให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆมาขับเคลื่อนให้มากขึ้น สร้างพื้นฐานเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศอย่างแท้จริง เชื่อว่าจีดีพีไทยโตได้ 4-5%
“ปัจจุบันเศรษฐกิจฐานรากมีปัญหามาก หนี้มีจำนวนมาก และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL สูง โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ อยากให้รัฐเร่งหามาตรการแก้ไข ด้วยการขอความร่วมมือกับธนาคารที่ช่วงนี้แข็งแกร่ง เพราะมีกำไรดีอยู่ ในการเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาหนี้”ดร.กอบศักดิ์ กล่าว
ดร.กอบศักดิ์ กล่าาว่า ทาง FETCO จะขอต่ออายุกองทุน SSF ออกไปอีก 5-10 ปี หลังจากที่จะหมดอายุในสิ้นปีนี้ เพื่อเปิดไว้ให้เป็นทางเลือกของนักลงทุน และไม่กระทบกับฐานภาษีของรัฐ และเป็นกองทุนที่คนรุ่นใหม่ลงทุนค่อนข้างมาก อาจเพราะสามารถลงทุนได้หลากหลาย
ด้าน ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนสิงหาคม 2567 (สำรวจระหว่างวันที่ 20-31 สิงหาคม 2567) พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 132.51 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” นักลงทุนมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมา คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและสัญญาณบวกจากความชัดเจนของการเมือง
ในขณะที่ ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมือง รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจและ สภาวะเงินเฟ้อ
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนสิงหาคม 2567 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
-ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (พฤศจิกายน 2567) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (ช่วงค่าดัชนี 120-159) ที่ระดับ 132.51
-ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ กลุ่มนักลงทุนสถาบัน และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”
-หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดพาณิชย์ (COMM)
-หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดยานยนต์ (AUTO)
-ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
-ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมือง
ผลสำรวจ ณ เดือนสิงหาคม 2567 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่ม 73.6% มาอยู่ที่ระดับ 144.26 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 28.4% มาอยู่ที่ระดับ 144.44 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับเพิ่ม 32.0% มาอยู่ที่ระดับ 120.00 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับเพิ่ม 275.0% อยู่ที่ระดับ 125.00
ในช่วงครึ่งแรกของเดือนสิงหาคม 2567 SET Index มีความผันผวนและปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,300 จุดจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศจากผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญต่อการยุบพรรคก้าวไกลและการถอดถอนนายกรัฐมนตรี ถึงแม้ว่าได้จะรับข่าวดีจากการประกาศ GDP ไทยในไตรมาส 2/2567 เติบโตสูงกว่าคาด โดยขยายตัวที่ 2.3% YoY ซึ่งได้แรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชนและการส่งออก
อย่างไรก็ตาม SET Index ในช่วงครึ่งเดือนหลังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากการเมืองเริ่มมีความชัดเจน โดยมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 และออกแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐในการแจกเงินสด 10,000 บาทแก่กลุ่มเปราะบางในโครงการ Digital Wallet รวมถึงท่าทีของเฟดต่อการลดดอกเบี้ย โดย SET Index ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 ปิดที่ 1,359.07 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.9% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนสิงหาคม 2567 อยู่ที่ 44,404 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 6,133 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิกว่า 123,692 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ นโยบายการเงินของเฟดที่คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้า และสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น
ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ผลการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลซึ่งคาดหวังว่าจะกระตุ้นการลงทุนซึ่งรวมถึงผลการออกกองทุนวายุภักษ์เพื่อกระตุ้นตลาดทุนไทย และสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือของไทยที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว