กองทุน TFFIF เทรดวันแรกเปิดเหนือจอง 2% ชูศักยภาพทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถีที่เข้าลงทุนครั้งแรกในส่วนแบ่งรายได้จากค่าผ่านทาง ทั้ง 2 สายทางมีรายได้จากค่าผ่านทางและปริมาณการจราจรในช่วง 3 ปีงบประมาณย้อนหลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ช่วยหนุนโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดี พร้อมประมาณการอัตราการปันส่วนแบ่งให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในปีแรก 4.75%
หน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทยหรือ Thailand Future Fund (TFFIF) เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 31 ต.ค. เปิดตลาดที่ราคา 10.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 2% จากราคาเสนอขายประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) หน่วยละ 10 บาท และปิดที่ 10.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ 3 % มูลค่าซื้อขาย 1,828 ล้านบาท
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนบริษัทจัดการ เปิดเผยว่า หลังจาก TFFIF เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่ต้องการเข้าลงทุนในทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่มีโอกาสได้รับเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยต่างให้การตอบรับเป็นอย่างดีในช่วงที่เปิดจองซื้อหน่วยลงทุนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ TFFIF จะเข้าลงทุนในทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) โดยเข้าลงทุนครั้งแรกในสิทธิในการรับส่วนแบ่งรายได้ร้อยละ 45 ของรายได้ค่าผ่านทางรวมสุทธิ(2) ที่จัดเก็บได้จากทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถี ระยะทางรวม 83.2 กิโลเมตร เป็นระยะเวลา 30 ปีนับจากวันโอนสิทธิตามสัญญาโอนและรับโอนสิทธิในรายได้ (Revenue Transfer Agreement หรือ RTA) นอกจากนี้ ทางพิเศษทั้ง 2 สายทางดังกล่าว มีแนวโน้มจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยเกื้อหนุนต่างๆ อาทิ ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ที่ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ทางพิเศษในการเดินทาง ปริมาณรถยนต์ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การขยายโครงข่ายทางพิเศษและทางเชื่อมต่อในอนาคต ตลอดจนนโยบายการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงการเติบโตของที่อยู่อาศัยในพื้นที่แถบชานเมืองและพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ ที่จะส่งผลให้เกิดความต้องการใช้ทางพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน
กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ในกรณีที่กองทุนมีกำไรสะสมเพียงพอ และโดยรวมแล้วในแต่ละรอบปีบัญชีจะจ่ายในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว โดยนักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับยกเว้นการจัดเก็บภาษีจากเงินปันผลที่ได้รับจากกองทุนเป็นระยะเวลาประมาณ 8 ปี รวมถึงมีโอกาสที่ TFFIF จะเติบโตจากการเข้าลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ของภาครัฐในอนาคต
นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะตัวแทนภาครัฐ เปิดเผยว่า การจัดตั้ง TFFIF ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการระดมทุนให้แก่หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ นำไปใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ประเทศ โดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณแผ่นดินหรือเงินกู้ยืมที่มีรัฐบาลค้ำประกัน
ทั้งนี้ หลังจาก TFFIF เข้าลงทุนครั้งแรกในส่วนแบ่งรายได้ของทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถีแล้ว ในอนาคตกองทุนยังมีโอกาสเข้าลงทุนเพิ่มเติมในกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพของหน่วยงานภาครัฐหรือรัฐวิสาหกิจอื่นๆ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนากิจการโครงสร้างพื้นฐาน โดยก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 (สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง) และหมายเลข 9 (สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร) ซึ่งเป็นทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานของกรมทางหลวงที่มีการจัดเก็บรายได้จากค่าผ่านทาง เข้าระดมทุนเพิ่มเติมผ่าน TFFIF ในอนาคต
ดร.สุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินที่กองทุน TFFIF เข้าลงทุนครั้งแรก กล่าวว่า กทพ.ยังคงเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถีตามปกติ โดยจะจัดให้มีตู้เก็บค่าผ่านทางแบบเงินสดและตู้เก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ทางพิเศษได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มความสะดวกในการใช้บริการและลดปัญหาการจราจรที่ติดขัดบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทาง
ส่วนเงินที่ได้รับจากการโอนสิทธิในรายได้ของทางพิเศษดังกล่าว กทพ. คาดว่าจะนำไปใช้ลงทุนพัฒนาทางพิเศษ 2 สายทาง ได้แก่ โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก และโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 เชื่อมต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออกและส่วนต่อขยายทดแทนตอน N1 เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ กทพ. ที่มุ่งมั่นพัฒนาทางพิเศษ เพื่อให้บริการที่ดี มีความคุ้มค่า สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ การเสนอขายหน่วยลงทุนส่วนเพิ่มทุนในครั้งนี้ของ TFFIF มีจำนวนหน่วยลงทุนเสนอขายสุดท้ายเท่ากับ 4,470 ล้านหน่วย คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายหน่วยลงทุนส่วนเพิ่มทุนทั้งหมดเท่ากับ 44,700 ล้านบาท (ประมาณการอัตราการปันส่วนแบ่งให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในปีแรก เท่ากับร้อยละ 4.75(1)) นับเป็นการเสนอขายที่มีมูลค่าการเสนอขายสูงที่สุดในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2561
นอกจากนี้หุ้นโอสถสภา ( OSP ) ซึ่งเข้าตลาดหุ้นก่อนหน้า ราคาปรับตัวขึ้นตามภาวะตลาดรวม ระหว่างวันแรงซื้อที่มีเข้ามา ดันราคาพ้นจอง 25 บาท และปิดที่ 25.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.15 บาท หรือ 4.67 % มูลค่าซื้อขายหนาแน่น 1,921.69 ล้านบาท