SCC หั่นงบลงทุนลง 1 หมื่นล้าน รับปีนี้รายได้หดตัว ตั้งการ์ดสูง

HoonSmart.com>>”ปูนซิเมนต์ไทย” (SCC) เผยกำไรจากการดำเนินงานไตรมาส2/66 ฟื้นตัว เตรียมคว้าโอกาสรับตลาดโลกฟื้นด้วย 4 ธุรกิจรับเมกะเทรนด์โลก ยอมรับรายได้ปีนี้ต่ำกว่าปีก่อนที่ทำได้ 582,292  ล้านบาท รับมือความไม่แน่นอน  ปรับลดงบลงทุนจาก 5 หมื่นล้านบาท เหลือ 4 หมื่นล้านบาท  เร่งส่ง “เอสซีจี เคมิคอลส์” (SCGC) เข้าตลาดหุ้น

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2566 บริษัทมีรายได้จากการขายจำนวน  124,631 ล้านบาท ลดลง 3% จากไตรมาสก่อน มีกำไรสุทธิ 8,082 ล้านบาท ลดลง  51% จากไตรมาสก่อนที่มีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน SCG Logistics จากการรวมธุรกิจ SCGJWD Logistics   หากไม่รวมรายการพิเศษ มีกำไรจากการดำเนินงาน  5,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  14% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (ธุรกิจยานยนต์)

กำไรจากการดำเนินงานที่ดีขึ้น เกิดจากการเร่งปรับตัวต่อเนื่องตามแผนงานด้วยการลดต้นทุน เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และสินค้ากรีน ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ด้วยอานิสงส์จากการท่องเที่ยว ตลาดวัสดุก่อสร้างดีขึ้นโดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว แม้ว่าเศรษฐกิจโลก จีนและอาเซียน ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์

ส่วนแนวโน้มการเติบโตระยะยาว บริษัทได้เตรียมคว้าโอกาสตลาดโลกฟื้นด้วยการเร่งเครื่อง 4 ธุรกิจตอบเมกะเทรนด์โลก ได้แก่ 1. โครงการปิโตรเคมีครบวงจรใหญ่ที่สุด ในเวียดนาม ฐานผลิตสำคัญของภูมิภาคอาเซียนที่มีศักยภาพสูง ผลิตนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ป้อนตลาดโลก ซึ่งมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว 2. ผนึกกำลังกับคู่ธุรกิจชั้นนำระดับโลกด้านนวัตกรรมกรีน ยกระดับ Green Innovation ตอบโจทย์ความต้องการตลาดโลก และสอดคล้องกับเทรนด์ ESG ได้แก่ นวัตกรรม ‘Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ’ โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงผลิตเป็นวัตถุดิบสำหรับพลาสติก Bio-PET ที่ย่อยสลายได้

3. ลงทุนในเทคโนโลยีวัสดุกักเก็บความร้อนจากพลังงานสะอาด ที่เก็บอุณหภูมิได้สูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ความร้อน ตอบโจทย์ การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมสีเขียว ตามเป้าหมาย Net Zero และ 4. เตรียม SCG Decor เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวสู่ผู้นำตลาดอาเซียนด้านวัสดุตกแต่งผิว และสุขภัณฑ์ด้วยนวัตกรรม Smart Bathroom โดยมูลค่าตลาดอาเซียนมีโอกาสโตสูงถึง 78,000 ล้านบาท ในปี 2569

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ารายได้ปีนี้น่าจะลดลงจากปีก่อนที่ทำได้ 582,292.21 ล้านบาท จากเดิมที่คาดจะเติบโตได้ 10% หลังจากครึ่งปีแรก มีรายได้จากการขาย 253,379 ล้านบาท ลดลง 17% ซึ่งเป็นไปตามยอดขายที่ลดลงของทุกกลุ่มธุรกิจตามสถานการณ์ตลาดที่อ่อนตัว และธุรกิจเคมิคอลส์มีซัพพลายใหม่จากจีนและสหรัฐเข้ามา ทำให้ครึ่งปีแรกราคาขายลดลงไปประมาณ 10-20% คาดลดลงต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง

สำหรับภาพรวมในครึ่งปีหลัง ยังมีความท้าทายอีกมาก ยอมรับว่ามีความกังวลเกี่ยวกับโครงการลงทุนภาครัฐที่อาจล่าช้าออกไป หลังจากสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อ รวมถึงภาวะโลกร้อนก็ยังเป็นปัจจัยที่ยังต้องติดตาม  ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยง หลังจากเฟดยังคงเดินหน้าชึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ส แต่คาดว่ายอดขายต่างประเทศจะดีขึ้นตามเศรษฐกิจเวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เริ่มฟื้นตัวจากครึ่งปีแรกที่ซบเซา

นายรุ่งโรจน์กล่าวว่า บริษัทตัดสินใจปรับลดงบลงทุนปีนี้ลงเหลือ 40,000 ล้านบาท จากเดิมวางไว้ 50,000 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยต่าง ๆ ในช่วงที่สถานการณ์ยังไม่สู้ดี แต่จะเดินหน้าลงทุนในโครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2566   และยังมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการลดต้นทุนจากพลังงานสะอาด โดยร่วมกับบริษัท Avantium N.V. เนเธอร์แลนด์ และบริษัท ไอเอชไอ (IHI) จากญี่ปุ่น เตรียมสร้างโรงงานต้นแบบนำก๊าซ CO2 มาแปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรักษ์โลก รวมถึงพัฒนาเป็นวัตถุดิบทางเลือกอื่นๆ ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ

สำหรับการนำบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ SCC และ SCGC ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ เพื่อสรุปกรอบเวลาการนำ SCGC เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ  ล่าสุดจะเข้าเทรดในช่วงไตรมาส 4/2566

ด้านนายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่  SCC  กล่าวว่า บริษัทบริหารต้นทุนพลังงานได้ดีในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 โดยเฉพาะธุรกิจซีเมนต์ในประเทศไทยได้เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนได้ 40%  ส่วนธุรกิจพลังงานสะอาด SCG Cleanergy ซึ่งให้บริการซื้อ-ขายไฟฟ้าครบวงจร สำหรับภาครัฐ ธุรกิจและอุตสาหกรรม เติบโตต่อเนื่อง โดดเด่นด้วยระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Grid เริ่มใช้งานแล้วที่กลุ่มบริษัทสหยูเนี่ยน บางปะกง นอกจากนี้บริษัทมีการติดตั้งโซลาร์สำหรับใช้ภายใน และส่วนที่ให้บริการกับภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชนผ่าน SCG Cleanergy คิดเป็นกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 231 เมกะวัตต์ ณ ไตรมาสที่ 2/ 2566

บริษัทยังได้ลงทุนใน Rondo Energy สตาร์ทอัพด้านพลังงานสะอาดระดับโลก จากสหรัฐอเมริกา ร่วมวางแผนผลิตวัสดุกักเก็บความร้อน (Thermal Media) สามารถกักเก็บความร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ความร้อน (Rondo Heat Battery) นำพลังงานแสงอาทิตย์มาเก็บเป็นความร้อน ใช้ในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกที่มุ่งสู่ Net Zero ตามแนวทาง ESG นอกจากนี้ กลุ่มไทยเบฟและเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ร่วมลงทุนใน NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เพื่อขยายธุรกิจทั้งในไทยและอาเซียน โดยตั้งเป้าสิ้นปี 2566 เติบโตเป็น 5,000 ล้านบาท

คณะกรรมการบริษัท SCC อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลกของปี 2566 ในอัตรา 2.50 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท กำหนดจ่ายเงินในวันที่ 25  ส.ค. ให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) วันที่  9 ส.ค.  และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 10 ส.ค. 2566