“ทิสโก้” คาดเงินบาทอาจกลับมาอ่อน กรณีเฟดลดดอกบี้ยน้อยกว่าคาด-ทรัมป์คว้าชัย

HoonSmart.com>> ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดเงินบาทอาจกลับมาอ่อนค่าในปีนี้ กรณีธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยไม่ถึง 1% ในปี 67 หากนโยบายทรัมป์หนุนให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่า

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า หลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินปัจจัยพื้นฐาน จากเกือบ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนมาอยู่ที่ประมาณ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ นั้น คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ค่าเงินบาทจะพลิกกลับมาอ่อนค่า โดยมีเป้าหมายสิ้นปีอยู่ที่ประมาณ 34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จาก 2 ปัจจัย คือ 1. ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยไม่มากถึง 1% ตามที่ตลาดคาดหวัง และ 2. หากนายโดนัล ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีจะมีนโยบายที่เอื้อให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่า ดังนั้น นักลงทุนจะต้องติดตามปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด

ทั้งการประชุม Fed ครั้งต่อไปในวันที่ 18 ก.ย.และการโต้วาทีของผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 10 ก.ย.นี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยชี้ชะตาต่อค่าเงินบาทในช่วงที่เหลือของปี 2567

“ตลาดซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ชี้ว่านักลงทุนคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลงรวม 1% ในการประชุม Fedที่เหลือเพียง 3 ครั้งในปีนี้ แสดงให้เห็นว่าตลาดคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยมากเป็นพิเศษหรือลดดอกเบี้ยประมาณ 50bps ในการประชุมครั้งใดครั้งหนึ่งในปีนี้ ซึ่ง TISCO ESU มองว่ามีโอกาสน้อยที่จะเป็นไปตามตลาดคาด เพราะการลดดอกเบี้ยมากกว่า 0.25%ต่อครั้งนั้นมักจะเกิดขึ้นเฉพาะในตอนที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวอย่างชัดเจน แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง ดังนั้น Fed จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยมากเป็นพิเศษในเร็วๆนี้
ทั้งนี้ หาก Fed ลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ย.และส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปในการประชุมครั้งถัดไป ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจพลิกกลับมาแข็งค่า และกดดันให้ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าได้ในระยะสั้น” นายคมศร กล่าว

นอกจากนั้น อีกปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางของค่าเงินในช่วง 2-3 เดือนนี้ได้แก่แนวโน้มการเลือกตั้งสหรัฐฯ โดยเฉพาะคะแนนนิยมของทรัมป์เนื่องจากนโยบายหลักในการหาเสียงของทรัมป์นั้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่า ได้แก่ 1.นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนถึง 60% และจากประเทศอื่นๆ 10% ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น และส่งผลให้ Fed ลดดอกเบี้ยในน้อยลง ในขณะที่การนำเข้าสินค้าที่ลดลงจะทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อดอลลาร์สหรัฐฯ อีกเช่นกัน

2.นโยบายการเนรเทศแรงงานต่างด้าวผิดกฏหมายออกนอกประเทศ ซึ่งจะทำให้จำนวนแรงงานลดลง ธุรกิจจำต้องขึ้นค่าแรงเพื่อดึงดูดแรงงานในประเทศ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นตามลำดับ 3.นโยบายการลดภาษีนิติบุคคลและภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ซึ่งจะส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุลการคลังมากขึ้น และจำเป็นต้องกู้เงินโดยการออกพันธบัตรมากขึ้น อุปทานพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้บอนด์ยิลด์เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ