ศูนย์วิจัยกสิกรฯแนะรับมือผู้นำโลกเปลี่ยน ถือเฮลท์แคร์+อินฟราฯ+พันธบัตร

HoonSmart.com>>ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เตือนรับมือผู้นำประเทศทั่วโลกเปลี่ยน ทำนโยบายเศรษฐกิจเปลี่ยน กีดกันการค้าเดือด แนะถือสินทรัพย์ปลอดภัย เฮลท์แคร์ อินฟราฯ เอไอต้นน้ำ พันธบัตร หวังครม.ชุดใหม่หน้าตาดีเรียกความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ นักลงทุน เร่งอัพเกรดการศึกษารับเศรษฐกิจโลกใหม่ ยืนจีดีพี 2.6%

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวใน งาน
THE WISDOM The Symbol of Your Vision Wealth Decoded การเลือกตั้งทั่วโลกปี 2024 จับตาการลงทุน และความท้าทายที่รออยู่ ว่า ปี 2567 จะมีการเลือกตั้งในประเทศใหญ่ๆที่เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ จะทำให้นโยบายทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น กรณีที่สหรัฐอเมริกา หาก โดนัลด์ ทรัมป์ มา การกีดกันทางการค้าขึ้นภาษีนำเข้า เพื่อจะทำให้เกิดการเกินดุลการค้า ทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตคนรั้งใหญ่ โดยจีนจะถูกขึ้นภาษี 60% และประเทศอื่นๆ จะถูกขึ้นภาษี 10% รวมถึงไทย ซึ่งจะกระทบต่อจีดีพีไทยประมาณ 0.3%-0.4% จะมีการลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งหุ้นจะวิ่ง

ทางจีน ยังไม่มีนโยบายใหม่ แต่เน้นทำนโยบายเก่าให้ดี ทำการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก เน้นสร้างความมั่นคง การใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม เอไอ การศึกษา ที่มุ่งไปในด้านนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี และเศรษฐกิจสีเขียว โดยมีเป้าที่จะเพิ่มให้ถึง 20% จากปัจจุบัน 5% และรัฐบาลจะเข้ามามีบทบาทในตลาดทุนมากขึ้น จากเดิมที่ปล่อยให้เป็นเรื่องของเอกชน

การที่จีนจะถูกสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้า 60% จะทำให้ค่าเงินหยวนอ่อน เงินสกุลอื่นๆในภูมิภาคจะอ่อนตาม ส่วนค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นในอนาคต
ปัจจุบันค่าเงินบาทแข็ง เป็นผลสืบเนื่องจากเฟดมีการขึ้นดอกเบี้ยแบบแรงมากสูงสุดรอบ 23 ปี แม้จะเกิดทิศทางขาลงโดยคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 8 ครั้ง คือ ปีนี้ 4 ครั้ง และปีหน้าอีก 4 ครั้ง

ทำให้ตลาดเกิดการนำเงินที่อยู่ในสกุลที่ได้ดอกเบี้ยต่ำ ไปถือเงินสกุลที่ได้ดอกเบี้ยสูง ที่เรียกว่า Carry Trade โดยเฉพาะมีการใช้เงินเยนไปซื้อเงินดอลลาร์ที่ให้ดอกเบี้ย 5% เปโซ แม็กซิโก ได้ดอกเบี้ย 10% และลงทุนในเงินสกุลดอลลาร์ ทำให้เงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่า รวมถึงเงินบาทไทย

“เดือนนี้จะเป็นเดือนที่ดอกเบี้ยโลกพีคที่สุด นับจากเดือนหน้าดอกเบี้ยจะเริ่มลดลง และจะลงต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี และจะทำให้ราคาทองเพิ่มขึ้น”นายบุรินทร์ กล่าว

นายบุรินทร์ กล่าวว่า การลงทุนในตลาดต่างประเทศช่วงที่กำลังจะมีเลือกตั้งทั่วโลก และการจะเปลี่ยนผู้นำประเทศหลักๆ ควรถือสินทรัพย์ปลอดภัย และลงทุนในกลุ่มและหุ้นที่อิงเทรนด์ใหญ่ของโลก หรือ เมกะเทรนด์ ที่เกี่ยวข้องกับสังคมผู้สูงอายุ คือ เฮลท์แคร์ ,โครงสร้างพื้นฐาน เพราะเมื่อรัฐบาลใหม่มาจะเร่งทำการลงทุนในสาธารณูปโภคขนานใหญ่ ,เอไอที่เป็นต้นน้ำ เช่นผู้ผลิตชิพ เซมิคอนดักเตอร์ ที่ผู้พัฒนาเอไอปลายน้ำทุกรายต้องใช้ และพันธบัตรรัฐบาล เพราะช่วงนี้อัตราผลตอบแทนยังสูงจากการที่ดอกเบี้ยสูง

แนะเร่งปิดจุดอ่อนแก้ปัญหาศก.+ตลาดทุน

นายบุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย มองการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ที่ 2.6% ซึ่งรวมโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว 0.2%

กรณี ที่จะปรับเงื่อนไขดิจิทัลวอลเล็ต เป็นแจกเงินสดเลยนั้น ก็ทำได้ เพียงขอให้ออกมาเร็วๆ เพื่อเงินจะได้เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเร็วๆ และควรจะแจกเฉพาะคนที่จำเป็นจริงๆ ถ้าเหลือก็นำไปกระตุ้นด้านอื่นๆ เช่น นำไปส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า การมีบ้านหลังแรก เป็นต้น ดั่งที่จีนมีมาตรการรถเก่าไปแลกรถใหม่ จะทำให้ได้ผลลัพธ์แบบทวีคูณ

ทั้งนี้ มองว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และกระทรวงเศรษฐกิจ ควรจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจ และนักลงทุนได้ เพราะปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมีการออกจากไทยไปมากแล้ว และต้องมีนโยบายที่สามารถปิดจุดอ่อน และแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ และตลาดทุนได้

รวมถึง อยากเห็นรัฐบาลชุดใหม่เร่งแก้ปัญหาโครงสร้าง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันทางการค้าทั้งในระยะสั้น เช่น การมีกฎหมายที่ซ้ำซ้อน และระยะยาว คือการศึกษา เพื่อเตรียมทักษะ ความรู้คนรุ่นใหม่ให้สามารถเท่าทันกับเศรษฐกิจยุคใหม่ได้