“คลัง” สปป.ลาว เปิดจองซื้อพันธบัตรสกุลเงินบาท ชูดอกเบี้ย 6.1-6.6%

HoonSmart.com>> “กระทรวงการคลัง” สปป.ลาว เปิดจองซื้อพันธบัตรสกุลเงินบาทในประเทศไทย (บาทบอนด์) จำนวน 2 ชุด ระหว่าง 31 ก.ค และ 2 – 3 ส.ค.66 นี้ วงเงินรวมไม่เกิน 3,610.3 ล้านบาท ชูดอกเบี้ย 6.1-6.6% กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจเต็มสูบ ด้วยโครงการโรงไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและการส่งออก เพื่อยกระดับเศรษฐกิจสู่ความอย่างยั่งยืนในอนาคตตามเป้าหมาย

ท่าน สุลีวัด สุวันนะจูมคำ อธิบดีกรมคุ้มครองหนี้สินสาธารณะ กระทรวงการคลัง แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เปิดเผยว่า จากไตรมาส 3 ของปี 2563 สปป.ลาว ได้เปลี่ยนสถานะจากการขาดดุลบัญชีการค้ามาเป็นการเกินดุลบัญชีการค้าแล้ว โดยปี 2564 มีมูลค่าการส่งออก 7,695 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปี 2565 มีมูลค่าการส่งออก 8,198 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีอัตราเติบโตเพิ่มมากขึ้นแบบขั้นบันไดอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการส่งออกไฟฟ้า แร่ธาตุ ผลิตผลจากไม้ เยื่อไม้และกระดาษ สินค้าเกษตร ประกอบด้วย ยางพารา มันสัมปะหลัง กล้วย อ้อย และกาแฟ ไปยังประเทศปลายทางต่าง ๆ เช่น ไทย จีน เวียดนาม ออสเตรเลีย สิงคโปร์ เป็นต้น ซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างพื้นฐานและโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ที่กำลังทยอยก่อสร้างเสร็จ เช่น โครงการรถไฟฟ้าลาว-จีน โครงการก่อสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่ (โครงการท่าบกท่านาแล้ง ศูนย์โลจิสติกส์เวียงจันทน์) และทางด่วนเวียงจันทน์-บ่อเต็น ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งประมาณ 30 – 40% และประหยัดเวลาในการขนส่งสินค้า ส่งผลให้ สปป.ลาว สามารถส่งออกไปจีนและอาเซียนได้เพิ่มขึ้น และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

ล่าสุด กระทรวงการคลัง แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เตรียมเสนอขายพันธบัตร ครั้งที่ 1/2566 โดยเป็นพันธบัตรชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือพันธบัตร รวมจำนวน 2 ชุด ในรูปแบบสกุลเงินบาทไทย วงเงินรวมไม่เกิน 3,610.3 ล้านบาท โดยพันธบัตร ชุดที่1 อายุ 3 ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.1% ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2569 และพันธบัตร ชุดที่2 อายุ 4 ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.6% ครบกำหนดไถ่ถอน ในปี 2570 กำหนดการชำระดอกเบี้ย ทุก ๆ 3 เดือน โดยมี บริษัท หลักทรัพย์ ดาโอ, บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก, บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด, บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์, บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย), บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล และบริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายพันธบัตรสกุลเงินบาทในประเทศไทยในครั้งนี้

ทั้งนี้ พันธบัตรของกระทรวงการคลัง แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เตรียมเปิดให้จองซื้อในวันที่ 31 ก.ค และ 2 – 3 ส.ค 2566 นี้ โดยเสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท จองขั้นต่ำ 100 หน่วย ให้กับผู้ลงทุนรายใหญ่ (HNW) และผู้ลงทุนสถาบัน (II) สำหรับวัตถุประสงค์การเสนอขายพันธบัตรในครั้งนี้ เพื่อต้องการนำเงินที่ได้ไปใช้รีไฟแนนซ์พันธบัตรชุดเดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2566

“พันธบัตรของกระทรวงการคลัง แห่งสปป.ลาว น่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มนักลงทุนไทยที่เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของสปป.ลาว ซึ่งตั้งแต่ปี 2556 ได้รับการตอบรับจาก นักลงทุนไทยเป็นอย่างดีต่อเนื่องมายาวนาน ไม่เคยมีประวัติการผิดนัดชำระกับนักลงทุน สามารถชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยได้ตามเงื่อนไขมาโดยตลอด”ท่าน สุลีวัด สุวันนะจูมคำ กล่าว

ทั้งนี้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมีความแข็งแกร่งจากความได้เปรียบทางภูมิประเทศ ซึ่งข้อได้เปรียบด้านภูมิประเทศที่ลาวมีคือ พื้นที่รองรับน้ำฝนมีมากถึง 202,000 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 85% ของพื้นที่ทั้งหมดส่งผลดีต่อเศรษฐกิจลาวในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงานน้ำ (Hydro Power) ที่สามารถนำพลังงานน้ำมาผลิตไฟฟ้าใช้ในประเทศรวมถึงส่งออกสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ไทย กัมพูชา เวียดนาม เมียนมาร์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ สปป.ลาว จึงเป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำรายใหญ่ของอาเซียน จนได้รับการขนานนามว่า “แบตเตอรี่แห่งอาเซียน” โดยตามเป้าหมายของลาว ภายในปี 2573 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 20,000 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 80% จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 11,000 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันสินค้าส่งออกสำคัญอันดับ 1 ของสปป.ลาว คือไฟฟ้า

นอกจากนี้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ยังเป็นประตูเชื่อมระหว่างจีนและอาเซียน ที่กำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และจุดเชื่อมโยงที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียนที่สำคัญ ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอย่างเต็มรูปแบบ เช่น โครงการรถไฟฟ้าลาว-จีน โครงการทางด่วนเวียงจันทน์-บ่อเต็น และโครงการท่าบก ท่านาแล้ง ศูนย์โลจิสติกส์เวียงจันทน์ (Vientiane Logistics Park) ที่เปิดดำเนินการแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถ ลดต้นทุนและระยะเวลาในการขนส่ง ช่วยเพิ่มโอกาสให้สินค้าส่งออกของอาเซียน และมีการขนส่งผ่านทางประเทศลาวมากขึ้น รวมไปถึงช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติให้มาตั้งฐานการผลิตในสปป.ลาว เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สามารถบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องแผนยุทธศาสตร์ของประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตและความแข็งแกร่งในระยะยาว โดยได้เร่งพัฒนาเพื่อยกระดับเศรษฐกิจเชื่อมโยงโลกการค้าอาเซียนสู่ตลาดต่างประเทศให้ดียิ่งขึ้น และคาดว่าปี 2566-2568 GDP ของสปป.ลาว จะโตขึ้นปีละประมาณ 4.5% – 5.0%