“ฟินโนมีนา-พรินซิเพิล-ดร.นิเวศน์” ชี้จังหวะลงทุน “หุ้นเวียดนาม” ดาวรุ่งเอเชีย

HoonSmart.com>> “ฟินโนมีนา” ประสานเสียง “บลจ.พรินซิเพิล-ดร.นิเวศน์” ชูตลาดหุ้นเวียดนามพื้นฐานแกร่ง มูลค่าเหมาะสม มองจังหวะซื้อลงทุน รับเศรษฐกิจแนวโน้มเติบโต กำไรบจ.โดดเด่นเป็นดาวรุ่งแห่งเอเชีย นักลงทุนเชื่อมั่นแรงซื้อกลับหนุนตลาดคึกคัก ด้าน “ดร.นิเวศน์” รอดูการจัดตั้งรัฐบาลของไทย ก่อนตัดสินใจลงทุนหุ้นเวียดนามเพิ่ม ฟาก “บลจ.พรินซิเพิล” เล็งเพิ่มน้ำหนักหุ้นค้าปลีก-อสังหาริมทรัพย์เห็นสัญญาณบวกใน 6-12 เดือนข้างหน้า

นายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นเพียงไม่กี่ตลาดที่อยู่ในโซนถูกและดี เนื่องจากเวียดนามมีปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สนับสนุนการเจริญเติบโตระยะยาวที่แข็งแกร่ง แต่ภาพระยะสั้นถูกกระทบบ้างจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวตามวัฎจักร ซึ่งดัชนีราคาหุ้นเวียดนามได้ซึมซับสิ่งเหล่านี้ไปมากแล้ว

“ในมุมมองของการลงทุนแบบ Contrarian investor ที่เน้นเข้าลงทุนตอนที่ราคายังถูกในสินทรัพย์พื้นฐานดี ตลาดหุ้นเวียดนามเวลานี้ถือเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจมาก ซึ่งผมชอบเวียดนามมากกว่าจีนไม่ได้รับผลกระทบจากภาครัฐ จึงมองจังหวะปัจจุบันน่าลงทุน ราคาถูก P/E 10 เท่า จากช่วงบูมเกือบ 20 เท่า”นายเจษฎา กล่าว

เวียดนามคาดการณ์การเติบโตระดับสูงที่ 5.8% ในปี 2566 และ 6.5% ในปี 2567 เหนือกว่าเศรษฐกิจทั่วโลก นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นเวียดนาม VN30 สามารถปรับตัวขึ้นเหนือ MA 200 วัน สะท้อนมุมมองเชิงบวกของนักลงทุน ขณะเดียวกัน Forward P/E ของ VN30 Index ยังอยู่ที่ 10.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 10 ปีที่ 12.25 เท่า และต่ำกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นโลกที่ 16.4 เท่า ทำให้มูลค่าตลาดหุ้นเวียดนามตอนนี้ อยู่ในระดับน่าสนใจเมื่อเทียบกับหุ้นโลก หนุนโอกาสสร้างผลตอบแทนในครึ่งปีหลัง

นายชาตรี มีชัยเจริญยิ่ง หัวหน้าการลงทุน ฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซีไอเอ็มบี พรินซิเพิล กล่าวว่า จากการไป company visit บริษัทในตลาดหุ้นเวียดนามของพรินซิเพิลเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ตอนนั้นนักลงทุนสถาบันยังมีเซนทิเม้นท์ที่ไม่ดีต่อตลาดหุ้น แต่การไปล่าสุดเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา เริ่มเห็นเซนทิเมนท์ตลาดหุ้นเวียดนามกลับมา เรื่องที่ทุกคนกังวลที่ทำให้ตลาดลงจากเรื่องหุ้นกู้เอกชน ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นมาก หลังจากรัฐบาลออกกฎหมายมาช่วยทำให้บริษัทที่ออกหุ้นกู้ปรับโครงสร้างหนี้และเลื่อนชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ออกไป ทำให้อสังหาริมทรัพย์ขายโครงการและเอาเงินมาจ่ายคืนหนี้ได้

อย่างไรก็ตามแม้ในระยะสั้นภาวะเศรษฐกิจเวียดนามจะได้รับผลกระทบจากภาคการส่งออกที่อ่อนแอตามเศรษฐกิจโลก แต่ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดอัตราดอกเบี้ย และสัญญาณการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการบริโภค บลจ.พรินซิเพิลจึงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงครึ่งปีหลัง

สำหรับแนวโน้มกำไรบจ.ตลาดหุ้นเวียดนามจากเดิมคาดการณ์ปีนี้เติบโต 20% ก็ปรับลดลงเหลือ 16% แต่ปีหน้ายังสูงอยู่ที่ 25% ขณะที่การเติบโตเฉลี่ยต่อปีในระยะยาวประมาณ 13% ซึ่งโดดเด่นสุดในอาเซียนและมี ROE สูงสุดในอาเซียนเช่นกัน

นายชาตรี กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในครึ่งปีหลังมีแผนเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเห็นสัญญาณที่ดี มองภาพ 6-12 เดือนมีแสงสว่าง โดยกลุ่มค้าปลีกจากการสำรวจคนท้องถิ่นและร้านค้าปลีกในเวียดนามมีการจับจ่ายใช้สอย ร้านค้าปลีกฟื้นตัวขึ้น ส่วนอสังหาริมทรัพย์คาดว่าดีมานด์น่าจะกลับมาได้ในปลายปี หลังจากชะลอตัวลงจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นสูงในปีก่อน และปลายปีคาดว่าจะเห็นดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านลดลง 1-2% รวมถึงปัญาหนี้เสียของธนาคารหากในไตรมาส 2 ไม่สูงขึ้นภาพน่าจะดูดีขึ้นทั้งอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธนาคาร

“หัวใจสำคัญที่ตลาดหุ้นเวียดนามกลับมาคึกคัก เพราะดอกเบี้ยเงินฝากลดลง จากความนิยของคนเวียดนามที่จะลงทุนใน 3 อย่าง ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์, ทองและหุ้น จากปัจจุบันราคาทองสูง นักลงทุนจึงมาลงทุนในหุ้น เงินถูกโยกออกจากตราสารหนี้และหุ้นกู้เอกชน เงินฝากประจำก็กลับเข้ามาในตลาดหุ้นทำให้ตลาดคึกคัก ซึ่งมองสถานการณ์น่าจะต่อเนื่องถึงสิ้นปี”นายชาตรี กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 2/2566 นักลงทุนรายย่อยกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นมูลค่าการซื้อขายสูงขึ้นเป็นเท่าตัวจากไตรมาสแรก ซึ่งมูลค่าการซื้อขายต่อวันของนักลงทุนรายย่อยปัจจุบัน เพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ปี 2563 นอกจากนี้สัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาตินับตั้งแต่ต้นปี 2565 ก็เติบโตเช่นเดียวกัน

นายวศิน ปริธัญ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน บลน.ฟินโนมีนา กล่าวว่า นักลงทุนบางส่วนอาจมองการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามมีความเสี่ยงสูง ซึ่งหากมองจากความผันผวนของราคาในอดีต และการที่เวียดนามยังถูกจัดว่าเป็นตลาดชายขอบ (frontier market) พอจะสะท้อนว่าความเสี่ยงสูงจริง แต่ในมุมมองของ asset allocation การนำหุ้นเวียดนามมาเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตจะทำให้ผลตอบแทนคาดหวังเทียบกับความเสี่ยงสูงขึ้นด้วยโอกาสการเติบโตระยะยาวที่สูงกว่าตลาดอื่น แต่ค่าความสัมพันธ์ของราคาหุ้นเทียบกับตลาดหุ้นโลกต่ำ ทำให้การลงทุนในเวียดนาม เป็นทั้งการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มและทำให้พอร์ตกระจายความเสี่ยงดีขึ้น โดยเฉพาะหากนักลงทุนได้ลงทุนในกลุ่มหุ้นผันผวนสูง เช่น กลุ่มหุ้นเทคโนโลยี อยู่มากแล้ว

ด้านดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุน VI กล่าวว่า ตลาดหุ้นเวียดนามมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องเหมาะกับการลงทุนระยะยาว ซึ่งปัจจุบันนำเงินปันผลที่ได้จากการลงทุนหุ้นไทยออกไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามทั้งหมด เพราะดัชนีหุ้นไทย 10 ปีที่ผ่านมาไม่ค่อยไปไหนและรอดูการจัดตั้งรัฐบาลว่าเป็นอย่างไร ซึ่งอาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนหุ้นเวียดนามได้อีก จากปัจจุบันอยู่ที่ 30% และมีเงินสดเพียง 5% ของพอร์ตทั้งหมด ซึ่งยังสามารถลงทุนเพิ่มได้ และจากการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเป็นเวลา 7 ปี ส่งผลให้ตนเองเป็นคนไทยที่ลงทุนมากในหุ้นเวียดนามและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทในเวียดนามเป็น 100 บริษัท

“ปีที่แล้วหุ้นเวียดนามตก 40% จากดัชนี 1,500 จุดลงมาแถว 1,000 จุดตอนสิ้นปีก่อน เป็นปีที่หนักมาก ผมมองเป็นโอกาสดี แต่คนไม่ซื้อ กลัว แต่ผมก็เข้าไปซื้อเยอะ ซึ่งจากต้นปีดัชนี 1,000 จุด ตอนนี้ 1,150 จุด ก็ขึ้นมา 15% แล้วและมองว่ามีโอากาสไต่ขึ้น 1,500 จุดได้ บางคนก็มองว่าหุ้นจะขึ้น ปีนี้เทิร์นอะราวด์ สิ่งที่ทำให้หุ้นตกคือดอกเบี้ยขึ้นเยอะมาก เศรษฐกิจตกต่ำ เพราะส่งออกเยอะ รวมถึงการจับปั่นหุ้นทำให้หุ้นตก พันธบัตรดีฟอล์ท ต่างจากบ้านเราที่ชินกับการจับปั่นหุ้น หุ้นกู้เสียหายตลาดหุ้นก็ชิน ซึ่งเวียดนามตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเข้าที่ เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ต้องรีบเข้าลงทุน และยังมีปัจจัยหนุนเปลี่ยนจากตลาดชอยขอบเป็นตลาดการเกิดใหม่ “นายนิเวศน์ กล่าว

นอกจากนี้มองว่าหากลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้นเวียดนามก็มีโอกาสรับผลตอบแทน 10% ต่อปีได้ในระยะเวลา 10 ปี จากแนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วและเวียดนามกำลังแซงไทยในหลายเรื่องๆ เช่นส่งออก ข้าว กุ้ง แม้กระทั่งภาพรวมการส่งออกมากกว่าไทยมาก ทั้งที่เศรษฐกิจคิดเป็น 2 ใน 3 ของไทย ด้านการลงทุนก็มากกว่าไทย ตอนนี้ถนนทุกสายวิ่งสู่เวียดนามหมด