BANPU วางพิมพ์เขียวธุรกิจใหม่ มุ่งสู่พลังงานอัจฉริยะ-มาร์จิ้นสูง

HoonSmart.com>>บ้านปู วางพิมพ์เขียวจัดพอร์ตธุรกิจปี 2030 ใหม่ คาดเปิดเผยได้ภายในพ.ย.นี้ ลดงานถ่านหินต่ำกว่า 50% มุ่งสู่ธุรกิจพลังงานอัจฉริยะ ร่วมลงทุนพัฒนานวัตกรรมลดการใช้ไฟของดาต้าเซ็นเตอร์ ใช้เอไอเทรดคาร์บอน มั่นใจครึ่งปีหลังรายได้กระเตื้องกว่าครึ่งปีแรกตามการใช้ถ่านหิน ก๊าซราคาสูงขึ้นในฤดูหนาว

บริษัท บ้านปู (BANPU) ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลายในระดับนานาชาติ ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 ด้วยรายได้จากการขายรวม 2,441 ล้านเหรียญสหรัฐ (“ประมาณ 88,425ล้านบาท) กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) รวม 650 ล้านเหรียญสหรัฐ (“ประมาณ
23,547 ล้านบาท) และกำไรสุทธิ 69 ล้านเหรียญสหรัฐ (*ประมาณ 2,489 ล้านบาท) (ดูตารางงบการเงิน)

บริษัทฯ ยังคงมุ่งมุ่งเน้นสิทธิภาพการดำเนินงานและมาตรการควบคุมต้นทุน เดินหน้าลดการปล่อยคาร์บอนการดำเนินงานด้านเทคโนโลยีดิดิจิทัล รวมทั้งจัดสรรงบประมาณการลงทนอย่างรอบคอบเพื่อความมั่นคงในระยะยาว

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู (BANPU) กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจ 2030 ใหม่ เพื่อปรับสัดส่วนธุรกิจที่ทำอยู่ 3 กลุ่มหลักๆ ให้เหมาะสม สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ธุรกิจสีเขียว เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ในแนวเดียวกับทิศทางของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดเผยได้ในเดือน พ.ย.2567 นี้

ทั้งนี้ในเบื้องต้น ได้วางไว้ว่าจะลดธุรกิจถ่านหินลงให้ต่ำกว่า 50% ในปี 2530 เพราะในหลายประเทศยังต้องใช้พลังงานจากถ่านหิน เนื่องจากไม่มีพลังงานอที่นำมาใช้ได้ โดยจะมีการเพิ่มสัดส่วนธุรกิจพลังงานสะอาด ที่เน้นนำเทคโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิต ผ่านพลังงานอัจฉริยะ (BanpuNEXT) และธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน มีการร่วมลงทุนในบริษัทที่จะมีการพัฒนานวัตกรรมลดการใช้พลังงานของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ มากขึ้นเพื่อรองรับเศรษฐกิจใหม่

สำหรับ ปี 2567 บริษัทฯมีงบลงทุน 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจะใช้ไปกับการลงทุนในธุรกิจก๊าซ 50% และ ธุรกิจพลังงานสะอาด 50% ซึ่ง 6 เดือนแรกยังไม่ได้ลงทุนเท่าไหร่นัก


ปัจจุบัน การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) มีความคืบหน้าจากโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture, Utilization and Sequestration: CCUS) ในสหรัฐฯ ที่ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Sequestered Gas: CSG) ที่สามารถลด
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งใน Scope 1 2 และ 3

ในขณะเดียวกัน ยังผลักดันการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาใช้ยกระดับการดำเนินงานในทุกกลุ่มธุรกิจ(Digtalization) เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบนิเวศภายในบ้านปู

รวมทั้งมีการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายโอกาสด้านการขายและการตลาด เพื่อลดต้นทนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงานในอินโดนีเซีย และสหรัฐฯ

ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทย่อยของบ้านปูในสหรัฐฯ BKV Corporation (BKV) ได้ขายสินทรัพย์ในธรกิจต้นน้ำและกลางน้ำบางส่วนที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักในแหล่งก๊าชธรรมชาติมาร์เซลลัส (Marcellus) ในรัฐเพนซิลเวเนีย
สหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 132 ล้านเหรียญสหรัฐ การขายสินทรัพย์ในครั้งนี้ทำให้ BKV ยังคงวินัยทางการเงินและสามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทรัพย์สินที่มีผลตอบแทนสูงกว่า

ส่วนโครงการ Ponder Solar โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 2.5 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ในแหล่งก๊าซบาร์เนตต์ รัฐเท็กซัส มีกำหนดเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนสิงหาคม 2567 โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ BKV จะบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 2 จากธุรกิจต้นนำและกลางน้ำในธุรกิจก๊าซธธรรมชาติที่บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินการเอง

ทั้งนี้ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของ BKV จะเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งโดยตรงและทางอ้อม ลดการพึ่งพาการซื้อไฟฟ้าจากภายนอก และใช้พลังงานที่ผลิตเองจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น โครงการ Ponder Solar และการดำเนินโครงการ CCUS เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งของบริษัทและของบริษัทอื่นๆ

สำหรับผลการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ในช่วงครึ่งปีแรก 2567 มีรายละเอียดดังนี้

กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน มุ่งควบคุมประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อคงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด โดยตั้งเป้าลดต้นทุนในธุรกิจเหมืองที่ 1.5 – 3.0 เหรียญสหรัฐตัน และในธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่ 0.06 – 0.07 เหรียญสหรัฐต่อพันลูกบาศก์ฟุต ในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ BKV ได้ลงนามในข้อตกลงซื้อขายก๊าซธรรมชาติที่มีคาร์บอนเป็นกลางกับ ENGIE Energy Marketing NA, Inc. และ Kiewit Infrastructure South Co. โดยคาร์บอนเครดิตที่ได้มาพร้อมกับก๊าซธรรมชาติ
ทีมีคาร์บอนเป็นกลางของ BKV มาจากการดำเนินโครงการ CCUS และเมื่อได้รับการรับรองจาก American Carbon Registry แล้ว คาดว่าจะสามารถส่งมอบก๊าซดังกล่าวได้ภายในสิ้นปี 2567

สำหรับ กลุ่มธรกิจผลิตพลังงาน ยังคงสร้างผลกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง โดยในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ II ในสหรัฐฯ มีรายได้จากการขายไฟฟ้า 288 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีปริมาณขายไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นจากการเข้าซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าชธรรมชาติ Temple II ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 สำหรับธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งในจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และออสเตรเลีย ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ

กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ในครึ่งแรกของปี 2567 ธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
บนหลังคา ได้ลงนามสัญญาใหม่เพื่อผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับพันธมิตรในประเทศไทยใน หลากหลายอุตสาหกรรม กำลังผลิตรวม 1.9 เมกะวัตต์ และมีกำลังผลิตที่ดำเนินการแล้วเพิ่มขึ้น 4.1 เมกะวัตต์ ปัจจุบันมีกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนรวม 100 เมกะวัตต์

ขณะที่มีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop PPA) ในอินโดนีเซีย จำนวน 10 เมกะวัตต์

ธุรกิจแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน เริ่มเดินหน้าการผลิตแบตเตอรีลิเธียมไอออนของโรงงาน SVOLT Thailand และส่งมอบแบตเตอรี่ลิเธียมนิกเกิลแมงกานีสโคบอลต์ออกไซด์ (NMC) ชุดแรกให้กับผู้ให้บริการรถบัสรายใหญ่ที่สุดไทย ขณะที่การก่อสร้างโครงการแบตเตอรีฟาร์มอิวาเตะ โตโนะ (Iwate Tono) ในญี่ปุ่น มีความหน้าตามแผนถึง 97%

ธุรกิจอีโมบิลิตี้ รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า MuvMi ได้เข้าร่วมโครงการเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะด้วยเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและเดินและเดินหน้าขยายเส้นทางการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันได้ให้บริการรับส่งแล้วมากกว่า 13 ล้านเที่ยว

ในขณะที่ ธุรกิจการบริหารจัดการพลังงาน เดินหน้าเพื่อการขยายระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางในเฟส 2 ของศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ โซนซี และยังได้ลงนามในสัญญาบริการ จำนวน 25 สัญญาให้แก่ SB Design Square ในจังหวัดภูเก็ตด้วย

นอกจากนั้น หน่วยงาน Corporate Venture Capital ยังได้เข้าลงทุนใน enspired ผู้นำในการพัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการพลังงานไฟฟ้า เป็นระบบข้อมูลที่มีการซื้อ-ขายเรียลไทม์ผ่านแพลตฟอร์มและระบบอัตโนมัติที่ทันสมัย ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับการดำเนินงานในธุรกิจแบตเตอรี่และการซื้อขายพลังงานของบ้านปู เน็กซ์

“ด้วยพอร์ตพลังงานที่ครบวงจรและผสมสานทั้งพลั้งพลังงานรูปแบบดั้งเดิมและรูปแบบใหม่อย่างสมดุลของบ้านปูในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เราตั้งเป้าให้แต่ละกลุ่มธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างแข็งแกร่งเพื่อผลตอบแทนที่มั่นคง สร้างคุณค่าที่ยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้เสียและร่วมขับเคลื่อนโลกให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน” นายสินนท์ กล่าว

ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.เอเซียพลัส ปรับลดมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ใหม่อยู่ที่ 5.8 บาทต่อหุ้น จากเดิม 7 บาท ผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกออกมาแย่กว่าที่คาดไว้

บล.บัวหลวง มองว่าผลการดำเนินงานหลักของบ้านปูในปี 2567 มีแนวโน้มอ่อนแอ จึงไม่เห็นปัจจัยบวกที่ชัดเจนสำหรับราคาหุ้น BANPU อย่างไรก็ตามมูลค่าหุ้นปัจจุบัน ซึ่งซื้อขายอยู่ที่ PBV ณ สิ้นปี 2567 ที่ 0.4 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 1.2 เท่าอยู่ 1.8SD) ถือว่าต่ำมาก จึงแนะนำ”ถือ”