MFC ชี้หุ้นไทยพี/อีต่ำ แนะทยอยลงทุนเพิ่ม คาด Q3 แกว่งในกรอบ 1,450-1,550 จุด

HoonSmart.com>> “บลจ.เอ็มเอฟซี” เปิดกลยุทธ์ลงทุนไตรมาส 3/66 แนะทยอยลงทุนหุ้นไทยเพิ่ม ชี้พี/อีต่ำ หุ้นราคาถูก มองภาคท่องเที่ยวฟื้นชัดเจน บริโภคเอกชนขยายตัว ด้านการจัดตั้งรัฐบาลชัดเจน หวังนโยบายทีมเศรษฐกิจผลักดันเศรษฐกิจ วางกรอบดัชนี 1,450-1,550 จุด ส่วนหุ้นต่างประเทศ มอง “หุ้นสหรัฐฯ” ลงทุนระยะยาวแนะรอตลาดย่อตัว ราคาหุ้นเริ่มตึงตัว เน้นหุ้นเติบโตคุณภาพดี “หุ้นจีน” ราคาลงมามากรับรู้ตัวเลขเศรษฐกิจที่แย่ไปกว่าคาดมากแล้ว ระยะสั้นอาจฟื้นตัวทางเทคนิค รอลุ้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมคัด 11 กองทุนเด่นแนะนำ

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี (MFC) เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 3/2566 โดยมองทิศทางตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหว Sideways to Sideways Up ตามปัจจัยในประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้น และความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงนโยบายของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทย ในส่วนปัจจัยสนับสนุนให้น้ำหนักการฟ้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค.ถึง 25 มิ.ย.2566 รวมทั้งสิ้น 12,464,812 คน หรือคิดเป็น 539% YoY สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 514,237 ล้านบาท และตลอดทั้งปี 66 ไทยนำจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่น้อยกว่า 25- 30 ล้านคน

ทางด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 อยู่ที่ 3.6% และในปี 2567 จะขยายตัวอยู่ที่ 3.8% โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย ธปท. มองว่าการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 4.4% และปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัว 7.3%

บลจ.เอ็มเอฟซี มองหุ้นไทยราคาถูกจึงมีความน่าสนใจ สามารถทยอยลงทุนเพิ่มได้ โดยปัจจุบันค่า Forward P/E ของดัชนี SET Index อยู่ที่ 14.9922 เท่า อยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปี ที่ประมาณ -0.5 S.D. โดยคาดการณ์ว่า ดัชนี SET Index จะแกว่งตัวภายในกรอบ 1,450-1,550 จุด ด้วยการผลักดันจากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 ที่ผ่านมา เติบโตมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ในเกือบทุกสัญชาติและถ้ามาดูแนวโน้มนักท่องเที่ยวจีนยังคงส่งสัญญาณเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ในอนาคต

ด้านการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในทุกกลุ่มอาชีพปรับตัวได้ดีขึ้น โดยกองทุนหุ้นไทยแนะนำ M-FOCUS, M-MIDSMALL, MBT-G

ทั้งนี้ ภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดไตรมาส 2/2566 ดัชนี SET INDEX อยู่ที่ระดับ 1,503.10 จุด จากระดับ 1,609.17 จุด ณ วันที่ 31 มี.ค.2566 ปรับตัวลดลง 6.59% (QOQ) ทิศทางตลาดหุ้นไทยแกว่งตัว Sideways to Sideways down ตาม sentiment จากปัจจัยต่างประเทศ โดยมีปัจจัยลบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แรงกดดันจากความกังวลธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางยุโรปยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น รัสเซียกับยูเครน จีนกับสหรัฐฯ

ส่วนปัจจัยภายในประเทศจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยที่อยู่ระดับสูง ความกังวลจากแรงเทขายอย่างต่อเนื่องของนักลงทุนต่างชาติ และประเด็นความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ภายหลังการเลือกตั้งของไทย

สำหรับมุมมองตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังดัชนี VIX หรือ Volatility Index ปรับตัวลดลงทำระดับต่ำสุดที่บริเวณ 13 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิดปี 2563 สะท้อนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในะระยะสั้นมีความผันผวนต่ำ โดยได้แรงหนุนจากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ชะลอลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโถคส่วนบุคคล (PCE) เดือน พ.ค. ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ Fed ให้ความสำคัญ รายงานออกมาขยายตัว 3.8%YoY ปรับตัวลดลงจาก 4.3%YoY ในเดือน เม.ย.

ปัจจุบันบลจ.เอ็มเอฟซี มองตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่งและมีความผันผวนต่ำ ระยะสั้นแนะนำทยอยลงทุน (Follow Buy) ตามสัดส่วนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รวมถึงตั้งจุด Stop Loss เพื่อป้องกันความผันผวนของราคาหุ้นในอนาคต

สำหรับระยะยาว แนะนำให้เน้นลงทุนเมื่อตลาดย่อตัว (Buy the Dip) เนื่องจาก Valuation ที่เริ่มตึงตัวมากขึ้นของหุ้นเทคโนโลยี หลังจากที่ดัชนี Nasdaq 100 ปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี 37.51% (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย.66) จนทำให้ค่า Forward P/E อยู่ที่ 26.29 เท่า ใกล้บริเริวณ +2SD จึงคงน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐรัฐฯ เป็น Neutral โดยเน้นลงทุนในหุ้นเติบโตคุณภาพดี (Quality Growth) ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ โดยกองทุนแนะนำ ได้แก่ MGF, M-EDGE, MCONT

ส่วนตลาดหุ้นยุโรป คงน้ำหนักการลงทุนเป็น Neutral เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของยุโรปมีแมีนวโน้มดีขึ้นจากฐานที่ต่ำในครึ่งปีหลัง แต่ไม่ได้มีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ เศรษฐกิจยุโรปอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) หลังจาก จีดีจี หดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจยุโรปมีแมีนวโน้ม ดีขึ้นหลังจากปัจจัยกดดันต่างๆ ได้ผ่อนคลายลง

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ แต่ยังยังไม่อาจคาดหวังการปรับตัวขึ้นเร็วและแรงได้ เนื่องจากยังได้รับแรงกดดันจากนโยบายที่ยังคงเข้มงวด อัตราเงินเฟ้อยุโรป ซึ่งเป็นแรงกดดันหลักต่อนโยบายของธนาคารกลางยุโรปและเป็นอุปสรรคต่อการบริโภคภายในยุโรป มีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้การบริโภคในยุโรปมีการฟื้นตัวและธนาคารกลางยุโรปเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของการใช้นโยบายแบบเข้มงวด แต่ดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูงอาจยังสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ

บลจ.เอ็มเอฟซี มอง Valuation ของหุ้นยุโรปอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งเป็นในระดับที่น่าสนใจลงทุน อย่างไรก็ตาม หุ้นในตลาดหุ้นยุโรปอาจมี upside ไม่สูง เทียบเท่าอุตสาหกรรมโลก เนื่องจากหุ้นในตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจ AI จึงคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นยุโรปเป็น Neutral กองทุนแนะนำ ได้แก่ MEURO, M-EUBANK

ขณะที่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงมามากในช่วงที่ผ่านมารับรู้ตัวเลขเศรษฐกิจจีนออกมาแย่ไปกว่าคาดมากแล้ว แต่ระยะสั้นปัจจัยเชิงเทคนิคพบว่า ดัชนีราคาตลาดหุ้นจีน MSCI China Index ปรับลงมาใต้เส้นค่าเฉลี่ย EMA50 วันและ EMA200 วัน ทำให้ระยะสั้นอาจฟื้นตัวและเคลื่อนไหวในกรอบ sideways ได้ เพื่อรอดูผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสัญญาณการกลับมาฟื้นตัวของตัวเลขเศรษฐกิจจีนอีกครั้ง ให้น้ำหนักระยะสั้น Neutral

“ราคาหุ้นจีนปรับลงมาอยู่ในระดับน่าสนใจลงทุนระยะยาว โดย Forward P/E ของดัชนี CSI300 อยู่ที่ 11.13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (-1 S.D) และ Forward P/E ของดัชนี HSI อยู่ที่ 9.38 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (-1.5 S.D.) นอกจากนี้คาดการณ์ EPS Growth ของดัชนี MSCI Chaina Index ที่ 14.5% ในปีหน้า ยังเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นจีนในระยะข้างหน้า”

บลจ.เอ็มเอฟซี มีมุมมองระยะยาวจีนให้น้ำหนักเป็น Slightly Overweight จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนปีนี้และปีหน้าและปัจจัยราคาที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจีนอาจได้รับปัจจัยกดดันภายนอก เช่น ความขัดแย้งภูมิศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ จีน ต่อประเด็นไต้หวันและความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน โดยกองทุน แนะนำ MCHINA, MCHEVO

ด้านตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ มุมมองระยะยาวคงน้ำหนักการลงทุนที่ Slightly Overweight ในตราสารหนี้สหรัฐฯ คุณภาพสูง เนื่องจากคาดว่า Yield มีโอกาสปรับลง จากมุมมองการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ในปีหน้า

อ่านฉบับเต็ม: https://did-admin.mfcfund.com/…/File/6907b249f6f8.pdf