JCK เพิ่มทุน 4,505 ล.หุ้น ขาย RO-PP กลุ่ม”อภิชัย เตชะอุบล”ถือ 49.99%

HoonSmart.com>>บอร์ด”เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล”(JCK) อนุมัติเพิ่มทุนไม่เกิน 4,505,583,138 หุ้น ขายผู้ถือหุ้นเดิม (RO) 3,465,833,184 หุ้น ในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุน ราคาขายหุ้นละ 0.30 บาท และอีกจำนวนไม่เกิน 1,039,749,954 หุ้น จะขายหุ้นเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป โดยแบ่งจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน 346,583,318 หุ้น ขายบุคคลในวงจำกัด (PP) ในการนี้”อภิชัย เตชะอุบล”จะได้หุ้นเพิ่มทุนสูงสุดไม่เกิน 2,736,621,881 หุ้น คิดเป็น 39.48% และจะถือหุ้นในบริษัท(รวมผู้ที่เกี่ยวข้อง) ไม่เกิน 49.99% ของทุนที่ออกและชำระแล้วของบริษัทหลังเพิ่มทุนครั้งนี้โดยจะขอผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด พร้อมอนุมัติให้กลุ่มบริษัทซื้อ “สาทร เฮอริเทจ เรสซิเดนเซส” วมทั้งสิ้น 3,040 ล้านบาท

บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล (JCK) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 6/2566 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 7 ก.ค 2566 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 พิจารณาอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 1,599,567,762.00 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม จำนวน 5,065,400,946.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ จำนวน 3,465,833,184.00 บาท โดยการตัดหุ้นสามัญจดทะเบียนที่ยังไม่ได้ออกจำหน่าย จำนวน 980,463,438 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท

นอกจากนี้ อนุมัติให้บริษัทหรือบริษัทย่อยของบริษัท (“กลุ่มบริษัท”) เข้าทำรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ในอาคารชุด “สาทร เฮอริเทจ เรสซิเดนเซส” อาคารบี, ซี (บางส่วน) ภายใต้ชื่อ “โรงแรม เจซี เควินสาทร กรุงเทพฯ” (“โรงแรม”) โดยเป็น การซื้อห้องชุดพาณิชกรรมและห้องชุดพักอาศัย จำนวน 318 ห้อง (รวมเรียกว่า “ทรัพย์สิน”) จากบริษัท เจซี เควิน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (“JCKD”) ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัท คิดเป็นมูลค่ารวมไม่เกิน 3,040.00 ล้านบาท (เรียกว่า “ธุรกรรมลงทุนในโรงแรม” หรือ“ธุรกรรมการซื้อทรัพย์สินจาก JCKD”) ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทจะชำระค่าตอบแทนในการซื้อทรัพย์สินจาก JCKD คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 3,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวนไม่เกิน 40 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 3,040 ล้านบาท โดยชำระเป็นเงินสดและแบ่งการชำระราคาซื้อขายออกเป็น 3 งวด ดังนี้

งวดที่ 1 กลุ่มบริษัทจะชำระค่าตอบแทนจำนวน 1,200 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39.47 ของราคาซื้อขายทรัพย์สินจาก JCKD ทั้งนี้ มีกำหนดชำระภายในวันที่ 30 กันยายน 2566 โดยมีเงื่อนไขว่ากลุ่มบริษัทจะได้รับสิทธิในการจัดการบริหารโรงแรมและสามารถรับรายได้ทันทีภายหลังจากที่ชำระค่าตอบแทนงวดที่ 1 เรียบร้อยแล้ว

งวดที่ 2 กลุ่มบริษัทจะชำระค่าตอบแทนจำนวน 800 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.32 ของราคาซื้อขายทรัพย์สินจาก JCKD โดย JCKD จะดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้กับกลุ่มบริษัทภายในวันที่กลุ่มบริษัทชำระค่าตอบแทนงวดที่ 2 เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ มีกำหนดชำระไม่เกินเดือนมีนาคม 2567

งวดที่ 3 กลุ่มบริษัทจะชำระค่าตอบแทนส่วนที่เหลือจำนวน 1,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32.89 ของราคาซื้อขายทรัพย์สินจาก JCKD โดยกลุ่มบริษัทจะผ่อนชำระเป็นเงินสดให้ครบถ้วนทั้งจำนวนภายในระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (หรือภายในกำหนดระยะเวลาที่ผู้ขายและกลุ่มบริษัทได้ตกลงขยายระยะเวลาดังกล่าวเพิ่มเติม) พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1.00 ต่อปี ของเงินต้นค้างชำระนับจากวันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจนถึงวันที่ชำระครบถ้วน คิดเป็นดอกเบี้ยจำนวนไม่เกิน 40.00 ล้านบาท ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทจะชำระค่าตอบแทนสำหรับงวดที่ 3 นี้ ครั้งแรกภายในปี 2568 และจำนวนที่ชำระขั้นต่ำต้องไม่น้อยกว่าปีละ 100 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าการชำระราคาจะไม่ส่งผลต่อสภาพคล่องและเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทและบริษัทย่อยของบริษัท เนื่องจากบริษัทและบริษัทย่อยของบริษัทมีแหล่งเงินทุนในการเข้าทำรายการครั้งนี้เพียงพอ

อีกทั้งได้อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 4,505,583,138 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม จำนวน 3,465,833,184 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ จำนวน 7,971,416,322 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 4,505,583,138 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) จำนวนไม่เกิน 3,465,833,184 หุ้น ในอัตราส่วนการจัดสรร 1 หุ้นสามัญเดิม ต่อไม่เกิน 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน กรณีที่มีเศษของหุ้นที่เกิดจากการคำนวณให้ปัดเศษของหุ้นนั้นทิ้ง ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.30 บาท คิดเป็นมูลค่าการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,039,749,955.20 บาท ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีขาดทุนสะสมปรากฏในงบการเงิน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 บริษัทจึงสามารถกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ต่ำกว่ามูลค่าที่ตราไว้ของบริษัทได้เมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น

พร้อมทั้งอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 1,039,749,954 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการออกและเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป(General Mandate) โดยจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 693,166,636 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 20 ของทุนที่ออกและชำระแล้วของบริษัท เพื่อเสนอขายต่อผู้ถือหุ้นสามัญเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) ตามแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) โดยจะออกและเสนอขายครั้งเดียวเต็มจำนวนหรือแต่บางส่วนก็ได้ และโดยเสนอขายในคราวเดียวกันหรือเป็นคราว ๆ ไปก็ได้ และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 346,583,318 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10 ของทุนที่ออกและชำระแล้วของบริษัท เพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement)

ทั้งนี้ อนุมัติการขอผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการโดยอาศัยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น (Whitewash) สืบเนื่องจากการออก เสนอขาย และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) โดยเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าบริษัทจะจัดหาเงินทุนจากการเพิ่มทุนที่จะออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) เพียงพอต่อความต้องการใช้เงินทุนในการเข้าทำธุรกรรมการซื้อทรัพย์สินจาก JCKD นายอภิชัย เตชะอุบล จึงได้แจ้งความประสงค์ที่จะจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวตามสัดส่วนที่ถืออยู่ และจองซื้อเกินสิทธิของตนตามหลักเกณฑ์ที่ระบุข้างต้น ซึ่งอาจทำให้นายอภิชัย เตชะอุบล (รวมผู้ที่เกี่ยวข้อง) มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทที่จะต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ (Mandatory Tender Offer) ตามประกาศ ทจ.12/2554 (สัดส่วนการถือหุ้นถึงหรือข้ามร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัท) แต่ไม่ว่าอย่างไรจะต้องไม่ถึงร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัท (ภายหลังการเพิ่มทุนเพื่อออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) แล้ว) แต่ไม่ว่าอย่างไรจะต้องไม่ถึงร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเพิ่มทุน

นายอภิชัย เตชะอุบล จะได้มาซึ่งหุ้นสามัญเพิ่มทุนในจำนวนสูงสุด ดังนี้ กรณีจองซื้อตามสิทธิจำนวน 364,313,679 หุ้น หรือกรณีจองซื้อเกินสิทธิรวมจำนวนสูงสุดไม่เกิน 2,736,621,881 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 39.48 ของทุนที่ออกและชำระแล้วของบริษัทภายหลังการเพิ่มทุนครั้งนี้และจะถือหุ้นในบริษัท
(รวมผู้ที่เกี่ยวข้อง) ในจำนวนสูงสุดรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 3,465,140,017 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 49.99 ของทุนที่ออกและชำระแล้วของบริษัทภายหลังการเพิ่มทุนครั้งนี้

ในการนี้ นายอภิชัย เตชะอุบล ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัทตามประกาศเรื่องรายการที่เกี่ยวโยงกัน (เนื่องจากนายอภิชัย เตชะอุบล เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นกรรมการของบริษัท) มีความประสงค์ที่จะขอผ่อนผันการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการโดยอาศัยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น (Whitewash)

พร้อมอนุมัติกำหนดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 ในวันที่ 31 สิงหาคม 2566