HoonSmart.com>>PRINC บุ๊คกำไรขายอสังหาฯQ3 นี้ ภาระดอกเบี้ยหายวับ 160 ล. ดันผลการดำเนินงานตีตื้นใกล้บวก จ่อซื้อรพ.ใหม่ ขยายลงทุนเฮลท์แคร์ ย้ำนับจากปีหน้าได้เวลาเทิร์ดอะราวด์ รายใหญ่กอดหุ้นแน่น
นพ.กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล รักษาการประธานคณะกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล (PRINC) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯจะมีการบันทึกรายได้จากกำไรการขายอสังหาริมทรัพย์ 3 โครงการ หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้ โดยกระบวนการชำระเงิน การโอนทรัพย์สินจะเสร็จในกลางเดือนส.ค.นี้ ซึ่งมูลค่าการขายรวม 5,942 ล้านบาท
“บริษัทฯจะนำไปชำระหนี้เงินกู้ประมาณครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ภาระดอกเบี้ยหายไป 190 ล้านบาทต่อปี ลดค่าใช้จ่ายลง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานดีขึ้น แต่ยังไม่เป็นบวก แต่ไม่ขาดทุนเท่าปี 2565 และจะเห็นผลชัดในปี 2568″นพ.กฤตวิทย์กล่าว
นพ.กฤตวิทย์ กล่าวว่า นับจากไตรมาส 4 ปี 2567 รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เคยมีสัดส่วน 10% ของรายได้รวมจะหายไป แต่จะถูกชดเชยด้วยรายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนเตียงที่เพิ่มขึ้นและรายได้จากธุรกิจเฮลท์แคร์ที่ลงทุนไว้จะเข้ามาเพิ่ม ฉะนั้นรายได้จะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องส่วนค่าใช้จ่ายลดลงตาม ดอกเบี้ยที่หายไป 190 ล้านบาท
สำหรับ เงินที่เหลือจากการชำระหนี้ จะนำไปลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาล ซื้อเครื่องมือทางการแพทย์,เทคโนโลยีใหม่ๆ และลงทุนในธุรกิจเฮลท์แคร์
ส่วนการลงทุนในโรงพยาบาล เน้นการถือหุ้น 100% หรือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ปีนี้ตั้งเป้าจะเพิ่มโรงพยาบาลใหม่ 5 แห่ง เป็น 20 แห่ง กระจายอยู่ใน 14 จังหวัด ถึงวันนี้เข้าไปซื้อโรงพยาบาลแล้ว 3 แห่ง ใช้เงินลงทุน 700 ล้านบาท ที่จังหวัดเชียงใหม่ นครราชสีมา พิษณุโลก มีการลงทุนสร้างศูนย์มะเร็งที่จังหวัดศรีสะเกษ คาดว่าจะเปิดได้ช่วงเดือน พ.ย.หรือ ธ.ค.นี้ เหลืออีก 1 แห่ง อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ จะทำแผนการเพิ่มจำนวนโรงพยาบาล 5 แห่งในปีนี้เป็นไปตามแผน และจะมีการลงทุนขยายเตียงในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ เช่น ที่พิษณุโลก
ด้านการลงทุนในธุรกิจเฮลท์แคร์ จะมี 2 รูปแบบ คือ 1.ลงทุนเอง โดยจะเปิดศูนย์แพทย์เฉพาะทางเพิ่มขึ้น ทั้งศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์กระดูกและข้อ ศูนย์การรักษาผ่านกล้อง ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก
2.การเข้าไปร่วมลงทุนในฐานะผู้ถือหุ้นส่วนน้อย ผ่านบริษัทย่อยที่ชื่อ บริษัทพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์
” ปีนี้รายได้จะโตตามเป้า 10-15% แม้ว่าไตรมาส 2 รายได้จะลดลงเพราะเป็นช่วงปิดเทอม คนไข้ที่เป็นเด็กจะลดลง แต่ไตรมาส 3 และ 4 จะมีผู้ป่วยมาใช้บริการมากขึ้น และผลการดำเนินงานดีขึ้นมากแต่ยังไม่เป็นบวก”นพ.กฤตวิทย์ กล่าว
นพ.กฤตวิทย์ คาดว่ากำไรจะกลับมาเป็นบวกได้ใน ปี 2568 เพราะจะรับรู้รายได้จากโรงพยาบาลที่ซื้อเข้ามาใหม่เต็มปี และหลายโรงพยาบาลพร้อมเปิดใช้งานเต็มที่ ประกอบกับเวลาของการลงทุนในโรงพยาบาล นับจากเริ่มต้นทำธุรกิจปี 2560 ถึงปัจจุบันรวมเวลา 7 ปี ถึงจุดคุ้มทุนแล้วประมาณ 50% และจะทยอยถึงจุดคืนทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ด้วยการที่เน้นเติบโตอย่างยั่งยืน ส่วนที่คืนทุนมาก็จะนำไปลงทุนเพิ่ม
นอกจากนี้ จะเพิ่มบริการรักษาโรคเฉพาะทาง การขยายฐานผู้ป่วยในเขตประเทศเพื่อน ลาว กัมพูชา ทั้งการเข้าไปเป็นผู้ประสานงานการส่งต่อผู้ป่วย และการเข้าไปให้บริการทางการแพทย์ในโครงการก่อสร้างประเทศเพื่อนบ้าน จะทำให้มีลูกค้าชาวต่างชาติสูงขึ้นจากปัจจุบันมี 3 %
บริษัท มุ่งไปที่การให้บริการกลุ่มลูกค้าระดับรายได้ปานกลาง และราคาสามารถจับต้องได้ โดยไตรมาส 1 ที่ผ่านค่าใช้จ่ายผู้ป่วยนอกต่อบิลจะอยู่ที่ 2,103 บาท ลดลง 3% จากสิ้นปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 2,029 บาท และผู้ป่วยในมีค่าใช้จ่ายต่อบิลที่ 12,955 บาท จากสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 13,091 บาทต่อบิล
ขณะที่ฐานลูกค้าของบริษัทฯ มีความหลากหลาย โดยเป็นกลุ่มลูกค้าคู่สัญญา 20.6% กลุ่มข้าราชการ 5.9% ลูกค้าประกัน 37.1% และลูกค้าที่จ่ายค่ารักษาเอง 36.4% และจากการที่บริษัทมีการขยายโรงพยาบาลตามเมืองที่ยังไม่มีโรงพยาบาลเอกชนเข้าไปเปิดบริการ จะทำให้ได้ลูกค้ากลุ่มคนที่จ่ายค่ารักษาเองเพิ่มขึ้น
สำหรับกรณีที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษ นาย สาธิต วิทยากร อดีตประธานคณะกรรมการ กรณีทำราคาหุ้น PRINC ไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยบริษัทยังคงดำเนินงานตามแผนที่วางไว้
นอกจากนี้ นายสาธิต ยังคงเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ และยังไม่ได้มีการขายหุ้นออกไปหลังจากก.ล.ต. กล่าวโทษ แสดงให้เห็นว่ายังคงมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทฯ