HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นปิดดิ่ง 38.41 จุด ทำ New Low ในรอบ 3 ปีกว่า หลังหลุด Low ปีนี้ที่ 1,281 จุด ร่วงตามตลาดต่างประเทศ หลายปัจจัยลบจากนอกประเทศกดดัน บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 478.68 บาท ด้านนักลงทุนไทยซื้อ 564.67 ล้านบาท แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้มีโอกาสลงต่อ แนวรับ 1,273 ถัดไป 1,260-1,250 แนวต้าน 1,290-1,300 จุด
ตลาดหลักทรัพย์วันที่ 5 ส.ค.67 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,274.67 จุด ลดลง 38.41 จุด หรือ -2.93% มูลค่าซื้อขาย 58,744.07 ล้านบาท โดยดัชนีแตะสูงสุด 1,296.11 จุด ต่ำสุด 1,273.17 จุด
นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 72.22 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 478.68 บาท ด้านนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 564.67 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 13.77 ล้านบาท
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ร่วงเช่นเดียวกับตลาดต่างประเทศ หลายตลาดเข้าสู่ภาวะตลาดหมี ไม่เว้นแม้แต่ไทย โดยดัชนีฯร่วงทำ New Low ในรอบกว่า 3 ปี หลังหลุด Low ของปีนี้ที่ 1,281 จุด (ช่วงมิ.ย.2567) อันเนื่องมาจากความกังวลหลายปัจจัยทั้งความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย, สงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอล, Yan Carry Trade รวมถึงการเลือกตั้งในสหรัฐ ต่างก็เป็นปัจจัยลบให้กับตลาด
“ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าดัชนีฯจะลงลึกไปรอบนี้เท่าไร เพราะถ้าคนยังมองหุ้นลลง มันก็จะลงไปเรื่อย ๆ คนที่เล่นหุ้น Tech ก่อนหน้านี้มีกำไรเยอะ ก็จะขายก่อน ตอนนี้อยู่ที่ว่าจะลงไปถึงตรงไหน เราก็ต้องตามน้ำไป วันนี้ต่างชาติคง Short อีกทั้งเราไม่มีตัวขับเคลื่อน ทำให้ตลาดเกิด Panic ขายล็อกกำไร ลด Position หนีตายก่อน ดังนั้นจึงแนะนำให้ถือสินทรัพย์ปลอดภัย แล้วรอดูสถานการณ์ก่อน”
พรุ่งนี้ (6 ส.ค.) ตลาดมีโอกาสปรับตัวลง เพราะหลังหลุด 1,281 จุดแล้วก็จะลงอีกกี่จุดก็ได้ พร้อมให้จับตาดูวันนี้ต่างชาติจะ Short มากแค่ไหน ถ้ามากก็มีโอกาสที่ดัชนีฯจะลงลึกได้ แต่ถ้า Short ไม่มากดัชนีฯก็อาจลงน้อยหน่อย
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า หลังจากที่ดัชนีฯหลุด 1,280 จุด ก็ไม่น่าซื้อแล้ว เพราะดัชนีฯทำ Low ใหม่ของปีนี้ และ New Low ในรอบกว่า 3 ปีด้วย จึงแนะให้ถือเงินสดไว้ก่อน เพราะยังตอบยากจะลงลึกแค่ไหน แต่กรอบแรกที่จะลงก็มองไว้แถว 1,250-1,260 จุดก่นอ เนื่องจากเวลานี้ตลาดเผชิญกับหลายปัจจัยทั้งกลัวเศรษฐกิจถดถอย, Yen Carry Trade ปิดสถานะ หลังนโยบายการเงินของญี่ปุ่นมีความเข้มงวดขึ้น รวมถึงสงครามตะวันออกกลางที่ตึงเครียดขึ้น ทำให้ตลาดภูมิภาคร่วงหมด และตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้ก็ร่วงราว 2% แม้แต่ Nasdaq ฟิวเจอร์ส ก็ร่วงไปเกือบ 4%
อย่างไรก็ดี พรุ่งนี้ (6 ส.ค.) ตลาด่ยังมีแนวโน้มที่ลงได้ต่อ เนื่องจากไม่มีปัจจัยอะไรที่ทำให้ขึ้นได้ พร้อมให้แนวรับ 1,260-1,250 จุด ส่วนแนวต้าน 1,300 จุด พร้อมกันนี้สัปดาห์นี้ให้ติดตามศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล และรอดูการประชุมครม.พรุ่งนี้ ส่วนนอกประเทศให้ติดตามยอดค้าปลีกของยุโรปในวันพรุ่งนี้ และตัวเลขส่งออกของจีนในวันที่ 7 ส.ค.
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างย่อตัวลงกันหมด โดยเฉพาะตลาดที่มีหุ้น Tech มากจะร่วงแรง อย่างตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วง 12%, ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นไต้หวัน ร่วงตลาดละ 8% แต่ตลาดหุ้นไทยจะลงน้อยกว่าตลาดอื่น เพราะที่ผ่านมาตลาดอื่นขึ้นกันแต่ตลาดบ้านเราไม่ขึ้น จากความกังวลเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ตลาดคาดธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย.ถึง 0.50% ซึ่งถือว่าเป็น Action ที่แรง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) และเงินดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลงเร็ว รวมถึงกังวล Yen Carry Trade ปิดสถานะ หลัง BOJ ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ตลาดผันผวนหนัก
“นักลงทุนที่ไม่ถือหุ้นอยู่ก็ให้รอดูระดับดัชนีแกว่งออกข้างหรือยัง และรอดูวอลุ่มเทรด ถ้าดัชนีฯยืนได้ สัญญาณขายก็ตอบรับไปบางส่วนแล้วค่อยเก็บ ซึ่งก็ควรจะรอดู 1-2 วันก่อน ส่วนคนที่มีหุ้นอยู่ ก็ดูว่ามีหุ้นอะไร ถ้ามีหุ้นที่ผลประกอบการแย่ ก็ให้แบ่งขายออกมาบ้าง แต่ถ้ามีหุ้นที่มีผลประกอบการดี และยังดีต่อในครึ่งปีหลัง มองว่าราคาลงลึกเกินที่จะ Cut ก็ควรถือไว้ก่อน”
สำหรับทิศทางการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (6 ส.ค.) ตลาดน่าจะแกว่งออกข้างได้ แต่ก็ไม่ควรหลุดแนวรับ 1,273 จุด ส่วนแนวต้าน 1,290 จุด
5 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่
ADVANC ปิดที่ 240.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือ +0.84% มูลค่าซื้อขาย 4,316.66 ล้านบาท
DELTA ปิดที่ 95.25 บาท ลดลง 5.75 บาท หรือ -5.69% มูลค่าซื้อขาย 4,009.39 ล้านบาท
GULF ปิดที่ 47.50 บาท ลดลง 0.75 บาท หรือ -1.55% มูลค่าซื้อขาย 3,232.20 ล้านบาท
TRUE ปิดที่ 9.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ +2.66% มูลค่าซื้อขาย 3,117.21 ล้านบาท
CPALL ปิดที่ 56.50 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ -1.74% มูลค่าซื้อขาย 2,199.98 ล้านบาท