บล.เอเซียพลัสวิเคราะห์ทางเทคนิค หุ้นเข้าเขตขายมากเกินไปพร้อมรีบาวด์ แต่ฐานไม่แข็งแรง มีโอกาสร่วงลงต่อ ไม่ผ่านแนวต้าน 1,655 “ไพบูลย์”นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ยกเหตุผล เชื่อหุ้นโลกไม่เข้าสู่ภาวะตลาดหมี เศรษฐกิจสหรัฐไม่ถดถอย ส่วนบล.ไทยพาณิชย์มองหุ้นไทยไตรมาส 4 น่าสนใจ มูลค่าถูกกว่าตลาดสหรัฐ แนะนำซื้อนิคมฯ AMATA, ROJNA, WHA และกลุ่มธนาคาร BBL, KTB, TMB
บล.เอเซียพลัสวิเคราะห์ตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลงแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่ดัชนีดาวโจนส์ถึงญี่ปุ่น เกิดสัญญาณทางเทคนิค เข้าเขตขายมากเกินไป(oversold) มีโอกาสที่จะเห็นจังหวะการรีบาวด์ในช่วงสั้น แต่ดัชนีทุกตลาดอยู่ต่ำกว่าเส้น EMA 10 ทำให้การฟื้นตัวขาดเสถียรภาพ และมีโอกาสพลิกกลับมาเป็นลบได้ ประเมินตลาดหุ้นโลกในสัปดาห์นี้ยังคงผันผวน เช่นเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะเห็นการดีดขึ้น 1,600 จุด แต่หากผ่านแนวต้าน 1,665 จุดไม่ได้ การเคลื่อนไหวเปราะบางและมีโอกาสพลิกเป็นลบได้ ประเมินกรอบเคลื่อนไหว 1,600-1,665 จุด
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดแถลงข่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังมองเป็นขาขึ้นจนถึงสิ้นปีนี้ โดยเชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่เข้าสู่ภาวะตลาดหมีและสภาพคล่องของโลกยังมีอยู่สูง ดังนั้นใครที่มีหุ้นอยู่ก็สามารถถือต่อไปได้
“ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่ภาวะตลาดหมี เพราะว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะไม่ถดถอย เฟดได้ขึ้นดอกเบี้ยตุนกระสุนไว้พร้อมแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นก็พร้อมที่จะลดดอกเบี้ยได้ และสภาพคล่องของโลกยังเยอะอยู่ ดูจากสหรัฐฯ เองช่วงที่พีคของการใช้ QE ต้นปี 2015 วงเงิน 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งดูจากงบดุลของเฟดแล้วเงิน QE ยังเหลืออยู่ 4.17 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงเพียง 7% ขณะที่ยุโรป จีนก็ยังอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบและญี่ปุ่นก็ยังดำเนินนโยบายผ่อนคลาย เมื่อ 4 ประเทศมหาอำนาจยังคงอัดฉีดเงินเข้าระบบ ทำให้สภาพคล่องของโลกสูงอยู่ เงินต้องเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น เพราะตลาดตราสารหนี้รองรับไม่ไหว จึงมองตลาดหุ้นยังขึ้นอยู่”นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าว
ส่วนตลาดหุ้นไทยมองว่า ดอยซ์แบงก์ ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ ออกบทวิจัยการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียก็ยังให้น้ำหนักมากกว่าตลาด ใน 4 ตลาด คือ ไทย จีน ออสเตรเลียและเกาหลีใต้ ขณะที่ให้น้ำหนักเท่ากับตลาด 2 ประเทศ ได้แก่ อินเดียและมาเลเซีย ส่วนที่เหลือให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด เช่น ฮ่องกง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยเองปีนี้แม้จะลดลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่ก็ถือว่าดีกว่าหลายตลาด ซึ่งมี 7 ตลาดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่เข้าสู่ภาวะตลาดหมีไปแล้ว คือ ลดลงมากกว่า 20% เช่นฮ่องกงลดลงมากกว่า 20% ทั้งที่เศรษฐกิจไม่ได้มีปัญหา
“ตอนนี้ตลาดหุ้นทั่วโลอยู่ในภาวะ Oversold Overaction หากมีข่าวดีก็พร้อมที่จะปรับตัวขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เดือนพ.ย. จีนกับสหรัฐจะพบกันในการประชุม G20 หรือทรัมป์เปลี่ยนท่าทีจากการทะเลาะกับคนทั่วโลก และเฟดเปลี่ยนท่าทีการขึ้นดอกเบี้ย และในส่วนของไทย หากมีความชัดเจนการเลือกตั้งมากขึ้น รวมถึงการปรับประมาณกำไรบริษัทจดทะเบียน ตลาดหุ้นก็พร้อมจะไป เพราะฉะนั้นใครมีหุ้นไม่ต้องรีบร้อนต้องขาย”นายไพบูลย์ กล่าว
ส่วนตลาดขาลงก็ตอบไม่ได้ว่าต่ำสุดหรือยัง แต่ปีนี้ตลาดหุ้นไทยลงไปแล้ว 6% ถือว่าใกล้เคียงตลาดพัฒนาแล้ว แรงขายหุ้นของต่างชาติที่ออกมาแล้ว 2.6 แสนล้านบาท มากกว่าช่วงที่เกิดวิกฤติซับไพรม์ เพราะเป็นเงินระยะสั้นที่เข้ามาลงทุน เช่น เงินกองทุน ETF ที่เคลื่อนไหวตามดัชนีเวลาลงก็ขาย รวมถึงเงินกองทุนโปรแกรมเทรดดิ้ง ซึ่งจะเขียนสูตร แล้วลงทุนตามโมเมนตั้ม ไม่ได้เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้นยังมองตลาดหุ้นเป็นบวก หากจะปรับลดก็จะลงอีกไม่มาก
ด้านนายพรเทพ ชูพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่า หุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและยาวนานนับตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อต้นปี 2559 สร้างผลตอบแทนสูงกว่า 50% ในช่วงที่ผ่านมา เมื่อมองในแง่เศรษฐกิจยังไม่พบสัญญาณเตือนภาวะวิกฤต โดยเฉพาะตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นไทย ซึ่งปัจจุบัน Valuation ดูน่าสนใจมากกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ สำหรับประเทศไทย สังเกตเห็นว่าการใช้จ่ายและการลงทุนภายในประเทศยังแข็งแกร่งขึ้นต่อเนื่อง
จากข้อมูลสถิติ มหภาคของ ธปท. และเริ่มส่งสัญญาณว่าไทยจะเข้าสู่วัฏจักรการลงทุนรอบใหม่ที่นำโดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล การผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC ตลอดจนความต้องการปฏิรูปองค์กรธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล ทั้งนี้ SCBS คาดว่า SET อาจมีการพักฐานตามปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทศ แต่จะปรับตัวขึ้นได้ตามปัจจัยพื้นฐานในประเทศซึ่งดีต่อเนื่องไปในปี2562 โดยมองหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เริ่มตึงตัวซึ่งนำไปสู่การลงทุนภาคเอกชนและเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จะให้ผลตอบแทนที่ดีตามปัจจัยพื้นฐาน
ด้านเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอตัวแต่ไม่ใช่วิกฤติ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกได้เข้าสู่ครึ่งหลังของวัฏจักรขาขึ้น เห็นได้จาก IMF ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกลงและมองเศรษฐกิจโลกยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ด้วยอัตราที่ชะลอลงหลังจากแตะจุดสูงสุดในปี 2561 อย่างไรก็ตาม แม้วัฏจักรขาขึ้นจะดำเนินต่อเนื่องมาถึง 10 ปีแล้วหลังวิกฤติการเงินปี 2551 แต่ยังน่าจะดำเนินต่อไปได้ เนื่องจากอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกโดยรวมยังไม่มีสัญญาณของความร้อนแรงจนอันตราย (overheating)
ส่วนแรงกดดันด้านเงินเฟ้อก็มีไม่มาก สัญญาณอีกอย่างหนึ่งที่บ่งชี้ว่าวัฏจักรเศรษฐกิจครั้งนี้อาจกินเวลานานกว่าปกติก็คือ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดรอบนี้เป็นการปรับขึ้นที่ช้ามากใช้เวลาถึง 3 ปีในการขึ้นดอกเบี้ยได้ 2% ต่างจากรอบก่อนๆ ในอดีตที่ใช้เวลาเพียงปีเดียวในการขึ้นดอกเบี้ยระดับดังกล่าว ส่วนธนาคารกลางประเทศหลักๆ ส่วนใหญ่ยังไม่ได้เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยกันเลย โดยธนาคารกลางยุโรป(ECB) น่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายใน 4Q/62 หรือเกือบ 1 ปีนับจากนี้
ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ยังไม่ได้ชะลอการซื้อสินทรัพย์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ในทางกลับกันจีนแสดงท่าทีที่ผ่อนคลายการเงินมากขึ้นในระยะหลังนี้เนื่องจากเศรษฐกิจของจีนจะได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทการค้ากับสหรัฐฯ ส่วนเรื่องความเสี่ยงที่ต้องติดตามได้แก่ ปัญหาค่าเงินตลาดเกิดใหม่ซึ่งคาดว่าไม่น่าลุกลามเพราะเป็นปัจจัยเฉพาะตัวของบางประเทศซึ่งขาดวินัยและพึ่งพาเงินทุนไหลเข้าจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) มากเกินไปในช่วงก่อนหน้า ทำให้อาจเจอเศรษฐกิจหดตัวเมื่อสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่วนไทยมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก หนี้ต่างประเทศน้อย เกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงมาก ฐานะการคลังแข็งแรง น่าจะผ่านพ้นความผันผวนภายนอกเหล่านี้ไปได้สบายๆ
บล.ไทยพาณิชย์ มองว่า ไตรมาส 4/61 เริ่มเห็นสัญญาณของไทยที่เข้าสู่วัฏจักรการลงทุนรอบใหม่เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มียอดสะสม 12 เดือนรวม US$1.14 หมื่นล้าน (จากตัวเลขล่าสุดถึงเดือนมิ.ย. 2561) สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2557 โดยดาดว่า FDI จะไหลเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และสิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ EEC บวกกับในระยะต่อไปน่าจะมีการโยกเม็ดเงิน FDI มาในภูมิภาคจากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เนื่องจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
นอกจากนี้ อัตราการใช้กำลังการผลิตในประเทศไทยขยับขึ้นไปที่ 68% สูงสุดในรอบ 4 ปี จะส่งผลทำให้การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้อง IMF ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้และปีหน้า สวนทางกับการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลก เราจึงมองว่าปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งจะส่งผลให้ SET index ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ในปี 2562 ที่ราว2000 จุด โดยใช้สมมุติฐาน PE ที่ 15.6 เท่าจาก sentiment เชิงบวกจากการเลือกตั้ง ประกอบกับการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share) ของตลาดโดยรวมที่ราว 8-10% ตามGDP ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
วัฏจักรการลงทุนขาขึ้นจะกระตุ้นให้ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มนี้ นอกจากนี้ยังส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นซึ่งเมื่อรวมกับแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นก็จะหนุนให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับเพิ่มขึ้นด้วยและส่งผลดีต่อธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นกลุ่มที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรการลงทุนขาขึ้นได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ AMATA, ROJNA, WHA และกลุ่มธนาคาร ได้แก่ BBL, KTB, TMB
AMATA รับผลดีจากความต้องการที่ดินนิคมฯ เพิ่มมากขึ้นและแม้จะมีที่ดินใน EEC จำนวนมากแล้วยังมีแผนหาที่ดินเพิ่มเติมอีกซึ่งน่าจะเพิ่ม NAV ของบริษัทได้อีกราว 13%
ROJNA ราคาหุ้นล้าหลังที่สุดในกลุ่มบริษัทกำลังเร่งเพิ่มที่ดินใน EEC ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานเติบโต 26% (CAGR) ตลอด 3 ปีข้างหน้า
WHA รับประโยชน์จาก EEC ทั้งจากธุรกิจนิคมฯ และธุรกิจโลจิสติกส์ คาดจำนวนที่ดินที่ขายได้จะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวและผลการดำเนินงานโต 16% (CAGR) ใน 3 ปีข้างหน้า
BBL การขยายสินเชื่อจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัวดีขึ้น BBL มีโอกาสดีที่สุดที่ valuation จะปรับขึ้นสู่ค่าเฉลี่ยในอดีตเพราะ ROE จะปรับตัวเพิ่มขึ้น
KTB จะเป็นธนาคารที่ตั้งสำรองลดลงมากที่สุด สินเชื่อจะเติบโตเร่งตัวขึ้น valuation น่าสนใจที่ PBV 0.87 เท่า
TMB ราคาหุ้น TMB ปรับตัวน้อยกว่ากลุ่มธนาคารอยู่ 20% YTD แต่เราคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมของ TMB จะเติบโตสูงกว่าธนาคารอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง และ NIM จะฟื้นตัวดีขึ้น