HoonSmart.com>>โบรกฯส่องธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด บล.ทิสโก้มองเงินเยนแข็งหนุนเงินเอเชียแข็งตาม หนุนเงินไหลเข้าตลาดหุ้นได้ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่มี 3 ปัจจัยบวก บล.หยวนต้าคาดนักลงทุนที่กู้เงินเยน เร่งปรับ Yen Carry Trade อาจรีบขายหุ้น คืนหนี้ดอกเบี้ยแพงขึ้น ด้านหุ้นไทยบวกจากหุ้นบิ๊กแคป ตอบรับ TESG เก็งงบไตรมาส 2 รุ่ง ลงทะเบียน Digital Wallet หนุนกลุ่มค้าปลีก หุ้นเอเชียหลายแห่งพุ่งแรง 1-2%
ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) แถลงหลังจากที่ประชุม BOJ มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.25% จากระดับ 0%-0.1% และปรับลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นรายเดือนลงสู่ระดับ 3 ล้านล้านเยน (2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในสิ้นปี 2569 จากระดับ 6 ล้านล้านเยน ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการถอนนโยบายผ่อนคลายทางการเงินขนานใหญ่ที่ BOJ ดำเนินการมาเป็น 10 ปี และส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและจะปรับระดับการผ่อนคลายทางการเงินต่อไป บนสมมติฐานที่ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะเป็นไปตามคาด
ทำให้ค่าเงินเยนแข็งอยู่ที่ระดับ 150.75 เยน/ดอลลาร์ และส่งผลต่อเนื่องถึงค่าเงินในภูมิภาค ค่าเงินบาทปิดที่ 35.66 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งระดับ 35.62 บาท/ดอลลาร์ ถือว่าแข็งค่าสุดในรอบ 4 เดือน (กลางเดือน มี.ค. 2567) เช่นเดียวกับค่าเงินเยน รวมถึงหุ้นในเอเชียหลายแห่งปรับตัวขึ้นแรงมากกว่า 1-2% ตลาดจับตาผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)คืนนี้ ซึ่งคาดว่าจะคงดอกเบี้ยที่ 5.25-5.50% รอดูรายงานและถ้อยแถลงของประธานเฟดว่า จะเปิดทางลดดอกเบี้ยในรอบการประชุมเดือนก.ย. นี้หรือไม่
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.25% จากเดิมที่อยู่ในกรอบ 0.0-0.1% ถือว่าเป็นการปรับขึ้นเร็วในแง่ช่วงเวลา และยังมีการลดการซื้อสินทรัพย์ ทำให้เงินเยนมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้น อาจส่งผลให้สกุลเงินอื่นในภูมิภาคมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นด้วย อาจเป็นผลดีต่อกระแสเงินทุนไหลเข้ามาในภูมิภาคได้ ซึ่งสวนทางกับฝั่งสหรัฐที่ต้องการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ลดอกเบี้ย
นอกจากนี้ หุ้นในเอเชียยัง Laggard อยู่ ส่วนตลาดหุ้นไทยวันนี้จะเห็นได้ว่าปรับตัวขึ้นจากแรงหนุนของหุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) คาดว่าจะเป็นผลจากเงินทุนไหลเข้า และยังได้แรงหนุนจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการปรับเงื่อนไขของ TESG แม้เม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่จะเข้าลงทุนในช่วง่ปลายนี้ แต่ตลาดคงจะตอบรับก่อน อย่างไรก็ดี ไม่คิดว่าดัชนีฯจะผ่าน 1,330 จุดไปได้ เพราะยังมีปัจจัยการเมืองรออยู่
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า TISCO ESU ยังคงมองว่าตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) เป็นตลาดหุ้นที่เหมาะสมกับการเข้าลงทุนในช่วงนี้ คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีจะเห็นเม็ดเงินจากทั่วโลกไหลเข้าตลาดหุ้น EM เพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาอ่อนค่าจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มเป็นขาลงอย่างชัดเจนนำโดยธนาคารกลางยุโรปเริ่มลดดอกเบี้ยไปแล้วในเดือนมิ.ย. ส่วนสหรัฐคาดว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนก.ย.และจะลดดอกเบี้ยรวม 2 ครั้งในปีนี้
นอกจากนี้ตลาดเกิดใหม่ยังมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมได้แก่ 1.เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น เริ่มมีการปรับคาดการณ์การเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก 2. การกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน และ 3. ระดับมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ค่อนข้างถูก ซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตค่อนข้างมาก ต่างจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งใกล้เคียงระดับแพงสุดเป็นประวัติการณ์ ดังนั้นตลาดเกิดใหม่จึงน่าจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกลับมาได้
ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2567 จะขยายตัว 2.9% เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนเม.ย.ที่ระดับ 2.7% และคาดว่าปี 2568 จะขยายตัว 3.1% เพิ่มขึ้นจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 2.9% เป็น เช่นเดียวกับกระทรวงการคลังคาดว่าปีนี้จะขยายตัวที่ 2.7% ปรับเพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนเดือนเม.ย. อยู่ที่ 2.4%
ด้านนายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้เกิดการปรับ Yen Carry Trade อาจทำให้เกิดการขายหุ้นเพื่อคืนเงินกู้ ซึ่งไม่ได้มองบวกต่อการขึ้นดอกเบี้ยของญี่ปุ่น สำหรับส่วนต่างดอกเบี้ยไทย ่และญี่ปุ่นก็คงจะแคบลง เพราะดอกเบี้ยญี่ปุ่นขยับขึ้นมา ขณะที่ไทยยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ 2.5% ความน่าสนใจกู้เงินเยนเพื่อพันธบัตรไทยลดลง นอกจากนี้มองยังไม่ดีต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น และเงินเยนแข็งค่าก็ไม่เป็นผลดีต่อการส่งออกของญี่ปุ่นด้วย ส่วนเงินทุนจะไหลเข้าเอเชียหรือไม่ ไม่น่าจะเป็นเพราะเรื่องญี่ปุ่นขึ้นดอกเบี้ย
สำหรับหุ้นไทยวันนี้ที่ปรับตัวขึ้น จะเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ TESG เพราะกองนี้จะเน้นลงทุนหุ้นยั่งยืนระดับสากล อีกทั้งมีการเล่นเก็งกำไรตามผลประกอบการไตรมาส 2 ของกลุ่ม Real Sector ที่ออกมาดี อย่าง PTTEP งบฯออกมาดี ช่วยหนุนหุ้นตัวอื่นในกลุ่มพลังงานขึ้นไปด้วย ส่วนกลุ่มค้าปลีกได้แรงหนุนจากจะมีการลงทะเบียน Digital Wallet ในวันพรุ่งนี้ (1 ส.ค.) ซึ่งก็ได้เริ่มสมัครก่อนตั้งแต่วันนี้
ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ยังอยู่ในทิศทางขยายตัวจากไตรมาสแรก แต่เดือน มิ.ย.67 ชะลอลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายได้ลดลง หลังเร่งไปในช่วงก่อนหน้า รวมถึงส่งออกสินค้าลดลง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่อยู่ในช่วงปลายฤดูกาล และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่สินค้าคงคลังยังสูง
ส่วนกรณีที่มีข้อเสนอให้ธปท.ยกเลิกมาตรการ LTV เพื่อช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ธปท.ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่ต้องรอดูข้อมูลว่าปัญหาอยู่ที่ไหน เกิดผลกระทบอย่างไร ซึ่งจะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดผลกระทบข้างเคียงเพิ่มเติม
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.5% ไม่ได้ถือว่าสูงมาก แต่ก็ไม่เห็นสัญญาณการปรับลดลงได้ ที่ผ่านมามีเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ จนส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งประเทศไทยมีขนาดเศรษฐกิจที่เล็ก เมื่อเทียบกับประเทศในโลก จึงควรต้องดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก มากกว่าสถานการณ์ภายในประเทศ
ตลาดหุ้นไทยวันนี้ ปรับตัวขึ้น 12.77 จุดหรือ +0.98% ดัชนีปิดที่ 1,320.86 จุด มูลค่าซื้อขายรวม 42,651.08 ล้านบาท โดยนักลงทุนแต่ละกลุ่มซื้อขายไม่มาก เช่น ต่างชาติซื้อสุทธิ 301 ล้านบาท สถาบันไทยขาย 338.61 ล้านบาท
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า หุ้นวันนี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลก ได้แรงซื้อคืนจากหุ้นผลิตชิป และคาดหวังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐคืนนี้จะมีข่าวดี ได้แรงหนุนจากในประเทศที่งบฯ PTTEP ออกมาดี และมีเงินปันผลระหว่างกาล 4.50 บาท หุ้นกลุ่มค้าปลีก โดยเฉพาะ CPALL ขึ้นตอบรับการพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 67 เพิ่มเติม เพื่อนำมาใช้ใน Digital Wallet ดังนั้นวันนี้จึงได้เห็นหุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้น สัญญาณทางเทคนิคก็ดีขึ้นด้วย