AIMC เปิดผลสำรวจ “ผู้จัดการกองทุน” มองแนวโน้มศก.ไทยฟื้นตัว หุ้นผันผวนระยะสั้น

HoonSmart.com>> สมาคม AIMC เผยผลสำรวจมุมมอง “ผู้ลงทุนสถาบันไทย” ใน 1 ปีข้างหน้า มอง “เชิงบวก” ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ เช่นเดียวกับการสำรวจช่วงต้นปี แต่ยังกังวลเศรษฐกิจโลกคาดทรงตัวหรือถดถอยลงบ้าง ส่วน “หุ้นไทย” คาดผันผวนระยะสั้น แนะกระจายลงทุนสินทรัพย์ที่หลากหลาย ชูหุ้นกลุ่มค้าปลีก การแพทย์ ท่องเที่ยวสันทนาการ อาหารและเครื่องดื่ม เทคโนโลยีและสื่อสาร อิเล็กฯ ตลาดหุ้นต่างประเทศ ชอบ “สหรัฐฯ ยุโรป อินเดีย

ชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคม[บริษัทจัดการลงทุน( AIMC)
นางชวินดา หาญรัตนกูล ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (Association of Investment Management Companies – AIMC) เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของสมาชิกบริษัทจัดการลงทุนในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาต่อมุมมองการลงทุนในช่วง 1 ปีข้างหน้า สรุปได้ว่า “ทีมผู้จัดการกองทุนไทยเกือบทั้งหมดมีมุมมองเชิงบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป โดยการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP Growth) มูลค่าหลักทรัพย์โดยเปรียบเทียบ ผลการดำเนินงานและกำไรของบริษัทจดทะเบียนทิศทางของอัตราดอกเบี้ย และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ จะเป็นปัจจัยบวกที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในประเทศตามลำดับ ขณะที่เสถียรภาพทางการเมือง ปัญหาหนี้ครัวเรือนจะเป็นปัจจัยลบที่สำคัญที่อาจฉุดรั้งเศรษฐกิจและลดทอนแรงจูงใจในการลงทุน

นอกจากนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่เริ่มมีแนวโน้มเข้าสู่ศักยภาพและการรักษาเสถียรภาพของราคาทีมผู้จัดการกองทุนเกือบทั้งหมดจึงคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2567 จะรักษาระดับอยู่อัตราเดิม (อัตราดอกเบี้ยนโยบายเปลี่ยนแปลงล่าสุด ณ 12 มิ.ย. 2567 อยู่ที่ 2.5%) โดยมีส่วนน้อยที่คาดว่าธปท.อาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 2.25% ซึ่งเป็นไปเพื่อดูแลเศรษฐกิจในภาพรวมให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ

ส่วนของการจัดน้ำหนักการลงทุนในประเทศนั้น ถึงแม้ตลาดทุนไทยจะมีความผันผวนอยู่บ้างในระยะสั้น แต่ในภาพรวมทีมผู้จัดการกองทุนมีมุมมองการลงทุนเป็นกลางค่อนไปในทางบวก (Neutral to Overweight) เน้นหลักการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทั้งประเภทตราสารหนี้ ตราสารทุน อสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานและทองคำ โดยสำหรับการลงทุนในตราสารทุนเน้นลงทุนในหุ้นขนาดปานกลางถึงใหญ่ (Medium to Large Cap) เป็นหลัก

กลุ่มอุตสาหกรรมในดวงใจ คือ กลุ่มการค้าพาณิชย์ กลุ่มบริการทางการแพทย์ กลุ่มท่องเที่ยวสันทนาการ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร และกลุ่มอิเลคทรอนิคส์ตามลำดับ นอกจากนั้นทีมผู้จัดการกองทุนยังให้ความสำคัญต่อการลงทุนในรูปแบบความยั่งยืน (ESG Investing) โดยสำหรับการลงทุนในประเทศจะเน้นลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ของบริษัทขนาดใหญ่โดยเฉพาะที่ให้ความสำคัญต่อปัจจัยด้าน สิ่งแวดล้อม รวมถึงการลงทุนในหุ้นรูปแบบผสมผสาน (ESG Equity Blending) รวมทั้งคาดหวังที่จะออกกองทุนที่เน้นลงทุนเพื่อสร้างความยั่งยืนทั้งในประเทศโดยเฉพาะกองทุนรูปแบบกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) และในต่างประเทศรูปแบบ FIF-ESG เพื่อนำเสนอให้แก่ผู้ลงทุนไทยให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกในระยะ 1 ปีข้างหน้านั้น ส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะทรงตัวและอาจชะลอตัวลงได้บ้างเช่นเดียวกับการสำรวจมุมมองครั้งก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะสงครามที่ยืดเยื้อ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระดับประเทศ อัตราเงินเฟ้อและอัตราการเติบโตของ GDP ที่ชะลอลงในบางประเทศเศรษฐกิจหลัก

อย่างไรก็ตามทางผู้จัดการกองทุนยังเชื่อว่าทิศทางโดยรวมของอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกจะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศสหรัฐอเมริกาจะค่อยๆทยอยลดระดับลงได้ในระยะถัดไปโดยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 5.0-5.25% ณ สิ้นปี 2567 และ 4.0-4.25% ณ สิ้นปี 2568 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้เศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้นได้ในระยะปานกลาง สำหรับการจัดน้ำหนักการลงทุนทั่วโลกยังคงเชื่อว่าผลกระทบของเศรษฐกิจโลกที่ไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค

ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่มีมุมมอง “เชิงบวก” มีส่วนน้อยที่มีมุมมองเป็นกลางต่อการลงทุนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) ในขณะที่มีมุมมองเป็นกลางค่อนไปในทางลบต่อกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)

สำหรับประเภทสินทรัพย์เพื่อการลงทุนนั้น ในภาพรวมตราสารหนี้มีความน่าสนใจกว่าสินทรัพย์เสี่ยงอื่น โดยให้น้ำหนักไปที่ตราสารหนี้ระยะปานกลางถึงยาวของสหรัฐอเมริกา ยุโรปและจีน ส่วนการลงทุนในหุ้นทั่วโลกยังคงมีมุมมองเป็นกลางค่อนไปในทางบวก เน้นลงทุนเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) ของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมากกว่าประเทศตลาดเกิดใหม่

สำหรับประเทศที่น่าสนใจลงทุนในหุ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยุโรปและอินเดีย โดย กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มบริการสื่อสาร กลุ่มอุปโภคบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย และกลุ่มบริการทางการแพทย์เป็นกลุ่มที่มีความโดดเด่นกว่ากลุ่มอื่น ในส่วนของสินทรัพย์การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกยังคงให้น้ำหนักปานกลางโดยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน และทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจ

อนึ่ง การสำรวจมุมมองผู้ลงทุนสถาบันไทยโดย AIMC นั้น มุ่งหวังให้ผลสำรวจนี้เป็นแนวทาง หลักคิดด้านการออมและลงทุน และช่วยให้ภาพรวมในการจัดแบ่งเงินลงทุน เพื่อที่ภาคธุรกิจ ผู้ลงทุน และประชาชนทั่วไปจะได้ประโยชน์ และสามารถสร้างความยั่งยืนผ่านเงินลงทุนของกิจการหรือของตนเองได้ต่อไป