นายกสมาคมนักวิเคราะห์ มองตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่เข้าสู่ภาวะตลาดหมีและไม่เกิดฟองสบู่ สภาพคล่องโลกยังล้น พร้อมมองหุ้นไทยเชิงบวก หลายปัจจัยหนุนหุ้นขึ้นได้ถึงสิ้นปี แนะนักลงทุนไม่ต้องรีบขาย
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังมองเป็นขาขึ้นจนถึงสิ้นปีนี้ โดยเชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่เข้าสู่ภาวะตลาดหมีและสภาพคล่องของโลกยังมีอยู่สูง เพระฉนั้นใครที่มีหุ้นอยู่ก็สามารถถือต่อไปได้
“ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่ภาวะตลาดหมี เพราะว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะไม่ถดถอย เพราะเฟดได้ขึ้นดอกเบี้ยตุนกระสุนไว้พร้อมแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นก็พร้อมที่จะลดดอกเบี้ยได้ และสภาพของโลกยังเยอะอยู่ ดูจากสหรัฐฯ เองช่วงที่พีคของการใช้ QE ต้นปี 2015 วงเงิน 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งดูจากงบดุลของเฟดแล้วเงิน QE ยังเหลืออยู่ 4.17 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงเพียง 7% ขณะที่ยุโรป จีนก็ยังอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบและญี่ปุ่นก็ยังดำเนินนโยบายผ่อนคลาย เพระฉนั้น 4 ประเทศมหาอำนาจยังคงอัดฉีดเงินเข้าระบบ ทำให้สภาพคล่องของโลกสูงอยู่ ซึ่งต้องลงทุนในตลาดหุ้น เพราะตลาดตราสารหนี้รองรับไม่ไหว จึงมองตลาดหุ้นยังขึ้นอยู่”นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าว
ส่วนตลาดหุ้นไทยมองว่า จากการที่ดอยซ์แบงก์ ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ ออกบทวิจัยการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียก็ยังให้น้ำหนักมากกว่าตลาด ใน 4 ตลาด คือ ไทย จีน ออสเตรเลียและเกาหลีใต้ ขณะที่ให้น้ำหนักเท่ากับตลาด 2 ประเทศ ได้แก่ อินเดียและมาเลเซีย ส่วนที่เหลือให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด เช่น ฮ่องกง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยเองปีนี้แม้จะลดลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่ก็ถือว่าดีกว่าหลายตลาด ซึ่งมี 7 ตลาดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่เข้าสู่ภาวะตลาดหมีไปแล้ว คือ ลดลงมากกว่า 20% เช่นฮ่องกงลดลงมากกว่า 20% ทั้งที่เศรษฐกิจไม่ได้มีปัญหา
“ตอนนี้ตลาดหุ้นทั่วโลอยู่ในภาวะ Oversold Overaction หากมีข่าวดีก็พร้อมที่จะปรับตัวขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เดือนพ.ย. จีนกับสหรัฐจะพบกันในการประชุม G20 หรือทรัมป์เปลี่ยนท่าทีจากการทะเลาะกับคนทั่วโลก และเฟดเปลี่ยนท่าทีการขึ้นดอกเบี้ย และในส่วนของไทย หากมีความชัดเจนการเลือกตั้งมากขึ้น รวมถึงการปรับประมาณกำไรบริษัทจดทะเบียน ตลาดหุ้นก็พร้อมจะไป เพราะฉนั้นใครมีหุ้นไม่ต้องรีบร้อนต้องขาย”นายไพบูลย์ กล่าว
ส่วนตลาดขาลงก็ตอบไม่ได้ว่าต่ำสุดหรือยัง แต่ปีนี้ตลาดหุ้นไทยลงไปแล้ว 6% ถือว่าใกล้เคียงตลาดพัฒนาแล้ว แรงขายหุ้นของต่างชาติที่ออกมาแล้ว 2.6 แสนล้านบาท มากกว่าที่เกิดวิกฤติซับไพรม์ เพราะเป็นเงินระยะสั้นที่เข้ามาลงทุน เช่น เงินกองทุน ETF ที่เคลื่อนไหวตามดัชนีเวลาลงก็ขาย รวมถึงเงินกองทุนโปรแกรมเทรดดิ้ง ซึ่งจะเขียนสูตร แล้วลงทุนตามโมเมนตั้ม ไม่ได้เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้นยังมองตลาดหุ้นเป็นบวก หากจะปรับลดก็จะลงอีกไม่มาก