MFC เปิดกลยุทธ์ลงทุนมิ.ย. แนะบอนด์สหรัฐคุณภาพสูง ทอง กองอสังหาฯไทย-เอเชีย

HoonSmart.com>> “บลจ.เอ็มเอฟซี” แนะกลยุทธ์ลงทุนเดือนมิ.ย.66 แนะทยอยลงทุนหุ้นสหรัฐฯ เมื่อตลาดย่อตัว หลังดัชนีขึ้นแรงเดือนพ.ค. ส่วนหุ้นยุโรป แนะ Neutral ติดตามเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับสูง แรงกดดันให้ธนาคารกลางยุโรปปรับขึ้นดอกเบี้ย จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะเข้าใกล้ระดับเป้าหมายที่ 2% ส่วนหุ้นจีน ระยะสั้น ให้น้ำหนัก Neutral ส่วนระยะยาว คงน้ำหนัก Slightly Overweight ทยอยสะสมจาก Valuation ราคายังน่าสนใจ ส่วน “หุ้นไทย” ระยะสั้นเคลื่อนไหว Sideways ส่วนภาพระยะกลางถึงยาวให้น้ำหนักเป็น Slightly Overweight ด้านตราสารหนี้สหรัฐฯ คุณภาพสูง-ทองคำ-กองทุนอสังหาฯ ไทยและเอเชีย ” Slightly Overweight”

บริษัทหลักทรัพย์เอ็มเอฟซี (MFC) เผยแพร่ Monthly Investment Strategy – June 2023

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือน พ.ค. โดยหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ และหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) นอกจากนี้หุ้นเติบโต (Growth Stock) ยังได้ปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มยุติวงจรดอกเบี้ยขาขึ้น เราคงน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็น Neutral โดยเน้นลงทุนหุ้นเติบโตคุณภาพดี (Quality Growth) เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ด้วย Valuation ที่เริ่มตึงตัวมากขึ้นของหุ้นเทคโนโลยี หลังจากที่ดัชนี Nasdaq Composite ปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี +25% (YTD) เราจึงแนะนำให้ทยอยลงทุนเมื่อตลาดย่อตัว

ตลาดหุ้นยุโรป: อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยุโรปปรับตัวลดลงในเดือน พ.ค. สู่ระดับ 6.1% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงสู่ระดับ 5.3% โดยมองว่าอัตราเงินเฟ้อด้านพลังงานที่ปรับตัวลดลงเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ทั้งนี้ ยูบีเอสมองว่าธนาคารกลางยุโรปจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง โดยปรับขึ้นครั้งละ 0.25% ในเดือน มิ.ย. และ ก.ค. ปัจจุบันเราให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป เป็น Neutral โดยยังต้องติดตามอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังอยู่ในระดับสูงซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ธนาคารกลางยุโรปปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะเข้าใกล้ระดับเป้าหมายที่ 2%

ตลาดหุ้นจีน: มุมมองระยะสั้นให้น้ำหนัก Neutral จากปัจจัยเทคนิค ทั้งนี้ดัชนีตลาดหุ้นจีน (MSCI China Index) เข้าเขต oversold แล้ว อาจเห็นราคาฟื้นตัวได้แต่เคลื่อนไหวในกรอบ sideways เพื่อรอปัจจัยบวกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ทั้งนี้ สำหรับระยะยาว คงน้ำหนัก Slightly Overweight ทยอยสะสมได้ จาก Valuation จากปัจจัยราคาที่ยังน่าสนใจ และเศรษฐกิจของจีนฟิ้นตัวในปีนี้ที่ 5.5%

ตลาดหุ้นไทย: ยังมีความน่าสนใจลงทุน แม้ว่ามุมมองระยะสั้นตลาดจะเคลื่อนไหวในรูปแบบ Sideways ตาม sentiment ของปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยเป็นความกังวลทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ส่วนปัจจัยภายในประเทศจะเป็นความชัดเจนของการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล มองว่าตลาดซึมซับประเด็นเหล่านี้มากพอสมควรแล้ว ส่วนปัจจัยสนับสนุนได้แก่ภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศ และการขยายตัวของภาคการเกษตร ดังนั้นมุมมองตลาดหุ้นไทย ระยะสั้นเป็น Neutral ส่วนภาพระยะกลางถึงยาวให้น้ำหนักเป็น Slightly Overweight

สำหรับปัจจัยราคาของดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่น่าสนใจ สามารถทยอยลงทุนเพิ่มได้ โดยปัจจุบันค่า Forward P/E ของดัชนี SET Index ณ วันที่ 31 พ.ค. 66 อยู่ที่ระดับ 15.22 เท่า อยู่บริเวณเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปี ซึ่งคาดว่าดัชนี SET Index จะแกว่งตัวภายในกรอบ 1,470 – 1,600 จุด ด้วยปัจจัยสนับสนุนนุจากภาคการท่องเที่ยว การลงทุนของทั้งทั้ ภาครัฐและเอกชน และรวมถึงการขยายตัวของภาคการเกษตร

ตราสารหนี้ต่างประเทศ: ตลาดติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เดือน มิ.ย. ซึ่งคาดว่าเข้าใกล้ยุติการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ส่งผลให้การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นจังหวะทยอยสะสมตราสารหนี้คุณภาพสูงสหรัฐฯ ซึ่งให้อัตราผลตอบแทน (Yield) อยู่ระดับน่าสนใจ 4%-5% และโอกาสรับผลตอบแทนจากราคา Capital gain ให้น้ำหนักการลงทุน Slightly Overweight

ทองคำ: เรามองว่าทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ โดยมีปัจจัยสนับสนุนได้แก่ 1.) นโยบายการเงินของ Fed ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงในระยะข้างหน้า และ 2.) การเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยแม้ปัจจุบันตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง แต่ดัชนีชี้นำต่าง ๆ เริ่มส่งสัญญาณชัดเจนมากขึ้นถึงภาวะถดถอยของสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า เราจึงคงน้ำหนักการลงทุนในทองคำเป็น Slightly Overweight โดยแนะนำให้มีสัดส่วนทองคำในพอร์ตการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง

น้ำมันดิบ: เรามองน้ำมันดิบ มีปัจจัยบวกได้แก่ 1.) OPEC+ สามารถปรับเปลี่ยนนโยบายการผลิตได้ตลอด เพื่อให้ตลาดน้ำมันมีความสมดุล ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และ 2.) เศรษฐกิจในฝั่งเอเชียอยู่ในช่วงฟื้นตัว ปัจจัยลบได้แก่ ความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยในฝั่งสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณถึงภาวะถดถอยเพิ่มขึ้น ซึ่งกดดันต่ออุปสงค์การบริโภคน้ำมัน เรามองแนวต้านน้ำมันดิบอยู่ที่ 82 ดอลลาร์สหรัฐฯ และแนวรับอยู่ที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยให้น้ำหนักการลงทุนในน้ำมันในระยะสั้น (0-6 เดือน) และ ระยะยาว (6-12 เดือน) เป็น Neutral

กองทุนอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก: ให้น้ำหนักการลงทุนเป็น Neutral จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ในแนวโน้มปรับตัวลง ซึ่งจะเป็นบวกต่อ Yield Spread

กองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยและเอเชีย: ให้น้ำหนักการลงทุนเป็น Slightly Overweight เนื่องจากทิศทางของเศรษฐกิจในกลุ่มเอเชียอยู่ในช่วงฟื้นตัว และ Asia REITs มี Yield Spread มากกว่าทางฝั่งสหรัฐฯ โดยให้ Dividend Yield อยู่ในระดับสูงประมาณ 5-6% และอัตราจ่ายปันผลฟื้นตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ Asia REITs ค่อนข้างปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาดอื่นๆ และปัจจัยราคายังไม่แพง จึงมีความน่าสนใจในการทยอยลงทุนระยะยาวมากกว่า

สำหรับกองทุนแนะนำ

MUBOND : ลงทุนตราสารหนี้สหรัฐ’ คุณภาพสูง อันดับเครดิตเฉลี่ยของพอร์ต AA โอกาสผิดนัดชำระหนี้ต่ำทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยกองทุนหลักสามารถสร้างผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีชี้วัดได้อย่างสม่ำเสมอทุกปี ตั๋งแต่ปี 2551

MBT-G : กองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่นที่คัดสรรหุ้นไทยที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง มีกลยุทธ์การบริหารพอร์ตที่ยืดหยุ่นตามสภาวะตลาดที่มีความผันผวน

M-MIDSMALL : กองทุนหุ้นไทยที่เน้นลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก ผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค ทำให้กองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index)

M-FOCUS : คัดสรรหุ้นไทยที่ดีที่สุดไม่เกิน 30 ตัว โดยกระจายความเสี่ยงไปยังหลักทรัพย์หลากหลายในสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจไทยที่กลับมาขยายตัวดีด้วยปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว

MCHINA : ลงทุนในหุ้นจีน A-Shares ซึ่งได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนในระยะยาว เราคาดว่าหุ้นจีนจะค่อย ๆ ฟื้นตัวได้ในปี 2566 หลังรัฐบาลผ่อนปรนการควบคุมโควิด รวมถึงมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์

MCHEVO : ลงทุนในหุ้นจีน All Shares ใน China Evolution Theme บริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ของจีน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ 1. กลุ่มการบริโภค 2. กลุ่มเทคโนโลยี 3.กลุ่มอุตสาหกรรม 4. กลุ่มพลังงานสะอาด 5. กลุ่มยาและสุขภาพ

M-EDGE : โอกาสลงกุนในหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน และเติโตอย่างยั่งยืน คัดเลือกลงทุนหุ้นคุณภาพดีสามารถสร้างมูลค่ได้เหนือกว่าดัชนีหุ้นโลก อีกทั่ง กองทุนกระจายการลงทุนไปในธุรกิจที่มี Business Cycle ต่างกัน และหลากหลายกสุ่มอุตสาหกรรม เหมาะสมกับภาระตลาดในปัจจุมันที่มีความผันผวนสูง

MGF : ลงทุนในหุ้นเติมโตคุณภาพดี (Quality Growth Stock) ที่มีโอกาสสร้างผลตอนแทนได้สูงคว่าตลาดเนื่องจากหุ้นประเภทนี้มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ

MEURO : ลงทุนหุ้นในกลุ่มประเทศยุโรป ด้วยรูปแบบการลงทุนที่ยืดหยุ่น ลงทุนในหุ้นได้ทั้งขนาดใหญ่ กลางและเล็ก ในขณะเดียวกันมีการควบคุมและกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยทีมบริหารกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญ

MHEALTHG : หุ้นกลุ่ม Healthcare เป็นอุตสาหกรรมที่มีความผันผวนต่ำ มีความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนและเงินเฟอไปยังผู้บริโภค ทำให้กำไรของบริษัท Healthcare โดดเด่นกว่าตลาดในช่วงเศรษฐกิจถดกอย หรือ ช่วงที่เงินเฟ้อสูง

MRENEW : Iรามองการผ่านร่างกฎหมาย Inflation Reduction Ict 2022 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุนในใช้พลังงานสะอาด, เร่งให้เกิดการผลิตพลังไฟฟ้าพลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนประมาณ 40% ภายในปี 2573 ซึ่งจะเป็นปัจยสนับสนุนต่อหุ้นซึมพลังงานสะอาดในระยะยาว