HoonSmart.com>>ทริสฯจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ 1.8 หมื่นล้านบาทของ”ทรู คอร์ปอเรชั่น” (TRUE) ที่ “A+” ทริสฯมองควบรวมกิจการแล้วแกร่ง อุตฯโทรคมนาคมแข่งขันสมเหตุสมผลมากขึ้น บริษัทมีฐานลูกค้ามือถือถึง 51.1 ล้านราย คาด 3 ปี รายได้ดำเนินงาน 2.03-2.05 แสนล้านบาท/ปี EBITDA อยู่ในช่วง 9.0-9.7 หมื่นล้านบาท Margin ระดับ 45-47% กระแสเงินสดดีขึ้น มีเงินทุนดำเนินงาน 6.7-7.3 หมื่นล้านบาท/ปี แต่จุดอ่อนมีหนี้ทางการเงินสูง 5.12 แสนล้านบาท
บริษัททริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.8 หมื่นล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 10 ปีของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ที่ระดับ “A+” เพื่อนำเงินไปใช้ชำระหนี้เงินกู้ และคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบัน ที่ระดับ “A+” โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง”คงที่”
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมแบบไร้สาย ตลอดจนความแข็งแกร่งของโครงข่ายในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ จำนวนคลื่นความถี่ในการให้บริการที่หลากหลาย และการมีแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังคำนึงถึงการผสานพลังทางธุรกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากการควบรวมกิจการ รวมถึงการแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมที่จะสมเหตุสมผลมากขึ้นและความเสี่ยงในการรวมกิจการจะน้อยลง แต่อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากโครงสร้างเงินทุนที่มีภาระหนี้สูงของบริษัท
บริษัทฯมีผลการดำเนินงานสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง โดยในไตรมาส 1/2567 มีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 5.17 หมื่นล้านบาท ได้รับแรงหนุนจากทุกธุรกิจหลัก มี EBITDA ที่2.51 หมื่นล้านบาท โดยมีอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้รวม (EBITDA Margin) อยู่ที่ระดับ 48.5% และมีเงินทุนจากการดำเนินงานทั้งสิ้น 1.91 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการด้อยค่าของสินทรัพย์และขาดทุนจากการยกเลิกสัญญาเช่าที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 766 ล้านบาท
บริษัทยังคงมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดในธุรกิจบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่จำนวน 51.1 ล้านราย ณ เดือนมี.ค.2567 ในขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) ของอุตสาหกรรมก็เพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าในระบบรายเดือน (Postpaid) จากอุปสงค์การใช้ข้อมูลที่มากขึ้น สำหรับธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง บริษัทมีลูกค้าจำนวน 3.7 ล้านราย ลดลงจาก 3.8 ล้านราย ณ เดือนธ.ค.2566
อย่างไรก็ตาม ระดับ ARPU ในธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการให้ส่วนลดน้อยลงและการใช้กลยุทธ์ที่เน้นคุณภาพของลูกค้า รวมถึงการแข่งขันในตลาดที่สมเหตุสมผลมากขึ้น ส่วนของบริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกนั้น มีการฟื้นตัวของรายได้จากกิจกรรมดนตรีและความบันเทิง
ทริสฯยังคงคาดว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีข้างหน้ จะได้ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการ โดยเฉพาะในด้านประสิทธิผลในการใช้ต้นทุนและประโยชน์อื่น ๆ จากการผสานพลังทางธุรกิจ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมจะอยู่ในช่วงระหว่าง 2.03-2.05 แสนล้านบาทต่อปี และคาดว่า EBITDA จะอยู่ในช่วง 9.0-9.7 หมื่นล้านบาทต่อปี EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 45-47% อีกทั้ง ยังคาดว่ากระแสเงินสดจะปรับตัวดีขึ้นโดยมีเงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ในช่วง 6.7-7.3 หมื่นล้านบาทต่อปี
อันดับเครดิตของ TRUE มีข้อจำกัดจากภาระหนี้สินทางการเงินในระดับสูง ณ เดือนมี.ค. 2567 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่จำนวน 5.12 แสนล้านบาท มีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับ 85.7% ในอนาคตทริสฯคาดว่า ภาระหนี้สินน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงแต่จะค่อย ๆ ลดลงในช่วง 3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากเงินลงทุนที่จำเป็นสำหรับการรวมโครงข่ายรวมถึงภาระในการชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่และความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น ทริสฯคาดว่าเงินลงทุนของบริษัทจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเทียบกับในช่วงก่อนควบรวมกิจการ โดยจะเหลือประมาณ 3.0-3.5 หมื่นล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทจะมีภาระในการจ่ายชำระค่าใบอนุญาตอีกปีละประมาณ 1.0-1.8 หมื่นล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันอีกด้วย คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะอยู่ในช่วง 4.5-6.0 เท่าในระหว่างปี 2567-2569 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินน่าจะอยู่ในช่วง 13-16% แต่ก็คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 83-85% ในช่วงประมาณการ
ณ เดือนมี.ค. 2567 หนี้สินรวมของบริษัทซึ่งไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่าและภาระหนี้สินจากค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่อยู่ที่จำนวน 3.67 แสนล้านบาท บริษัทยังคงพึ่งพาแหล่งที่มาของเงินทุนจากหุ้นกู้เป็นหลัก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% ของหนี้สินรวม บริษัทมีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนในสัดส่วนประมาณ 28% ของหนี้สินรวม
แนวโน้มอันดับเครดิต”คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสว่าบริษัทจะยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดโทรคมนาคมในประเทศเอาไว้ได้ และยังคาดว่าสถานะทางการเงินจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้า โดยที่ EBITDA และหนี้สินทางการเงินจะอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับที่ทริสฯคาดการณ์ไว้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีค่อนข้างจำกัดในระยะใกล้ บริษัทยังมีคดีความอีกหลายคดีที่จะต้องใช้เวลาในการพิจารณาตัดสิน ทั้งนี้ อันดับเครดิตทอาจได้รับแรงกดดันในทางลบหากผลสรุปของคดีความเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบในทางลบอย่างมีสาระสำคัญต่อสถานะทางการเงินของบริษัท