HoonSmart.com>>”พิริยพล คงวาณิช”จากค่ายบล.บัวหลวง ให้กรอบ SET ไตรมาส 3 ที่ 1,250-1,420 จุด ทั้งปี 1,466 จุด คัด 17 หุ้นเด่นจาก 4 ธีมลงทุน รับอานิสงส์งบประมาณรัฐ -กำไร/ปันผลบจ.ไตรมาส 2 -การท่องเที่ยวพีคไตรมาส 4 -การย้ายฐานการผลิตจากจีน วางสูตรการจัดน้ำหนักรายกลุ่มในพอร์ต พร้อมสินทรัพย์ปลอดภัยผลผลตอบแทนสูง รับดอกเบี้ยขาลง เศรษฐกิจโลกซบ
นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน สายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า บล.บัวหลวง มองกรอบ SET ไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ 1,250-1,420 จุด จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ซึ่งจะแบ่งไตรมาส 3 ออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะครึ่งแรกของไตรมาส 3 และระยะครึ่งหลังของไตรมาส 3 ตามปัจจัยที่เข้ามากระทบ
ทิศทางเศรษฐกิจโลก ครึ่งแรกของไตรมาส 3 ภาพรวมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังสนับสนุนความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์เสี่ยง โดยภาวะเงินเฟ้อเริ่มกลับมาชะลอตัว ทำให้ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (FED) ลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ จะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ในไตรมาสที่ 4 และเศรษฐกิจโลกยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง จะเป็นจุดที่หนุนให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสามารถไปต่อได้ในช่วงไตรมาสที่ 3
ครึ่งหลังไตรมาสที่ 3 เห็นการส่งสัญญาณการถดถอยของเศรษฐกิจโลก ที่อาจจะชะลอตัวลงแรงกว่าที่มีการคาดการณ์กันไว้ เพราะฝั่งสหรัฐอเมริกา เริ่มจะเห็นความเปราะบางของตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ คือ ตัวเลขการบริโภค และตัวเลขการจ้างงาน ในขณะที่จีน มีปัญหาการบริโภคภายในชะลอตัว เพราะได้รับแรงกดดันจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่มีสินค้ารอขาย หรือ Inventory สูงมากต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปีครึ่งจึงจะระบายออกหมด จะเป็นปัจจัยฉุดรั้งการบริโภคภายในอย่างต่อเนื่อง จะเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก
ทิศทางเศรษฐกิจไทย ในช่วงครึ่งแรกของไตรมาส 3 ยังได้รับการหนุนจากงบประมาณภาครัฐที่ผ่านแล้ว และการเบิกจ่ายด้านการลงทุนมีการเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและแรง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังของปีจะดีกว่าครึ่งปีแรก แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากการหดตัวลงของเศรษฐกิจโลกแรงกว่าที่คาดไว้ จะกระทบต่อการส่งออกของไทย และการเมืองที่ยังไม่ชัดเจน จะกดดันตลาดหุ้นในเชิงลบ แต่ถ้าการเมืองคลี่คลายลง น่าจะสามารถเห็นหุ้นไทยกลับมาได้อีกรอบหนึ่ง
4 ธีมลงทุน Q3/67
สรุป นายพิริยพล กล่าวว่า ภาพเศรษฐกิจในประเทศยังดี แต่ภาพเศรษฐกิจโลกยังเสี่ยง และยังมีความไม่แน่นอนทางการเมืองด้วย จะทำให้การเคลื่อนไหวของ SET ค่อนข้างผันผวน การลงทุนต้องใช้ความระมัดระวัง
ทั้งนี้ ได้วางกลยุทธ์หลักในการลงทุนยังเป็นแบบการเลือกหุ้นอย่างระมัดระวัง ภายใต้การลงทุน 4 ธีม คือ
1.ธีมเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนของภาครัฐ 2.ธีมกำไรและเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 ที่จะประกาศออกมาในเดือนสิงหาคม 3.ธีมย้ายฐานการผลิตจากจีน 4.ธีมลานีญา
1.ธีมเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนของภาครัฐ กลุ่มรับเหมาจะได้ประโยชน์จากตัวเลขการเบิกจ่ายงบลงทุนที่เร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและแรงอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 37% จากเดือนเมษายนอยู่แค่ 10% เพิ่มขึ้นถึง 390%
แปลว่าตัวเลขการเบิกจ่ายเงินลงทุนออกมาแล้ว ถ้าทีมรัฐบาลไม่มีการสะดุดยังบริหารต่อไปได้ การลงทุนของภาครัฐจะยังเดินหน้าไปต่อ เศรษฐกิจก็ขยายตัวได้
กลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือ กลุ่มรับเหมา กับกลุ่มไฟแนนซ์ เพราะพอเงินถูกเบิกจ่ายเข้าสู่ระบบ จะถึงมือรากหญ้า
หุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ CK, STEC, TIDLOR, MTC
“แต่ถ้าการเมืองไทยสะดุดเศรษฐกิจก็จะหยุด ในช่วงครึ่งแรกของไตรมาส 3 การเมืองมีผลต่อแรงขับเคลื่อนการลงทุนสูง และมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศต่อมุมมองการขยายตัวทางเศรษฐกิจ”นายพิริยพล กล่าว
2.ธีมกำไรและเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 ที่จะประกาศออกมาในเดือนสิงหาคม ซึ่งทางบล.บัวหลวง มองภาพรวมกำไรไตรมาส 2 ปี 2567 เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปี 2566 แต่ถ้าเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
กลุ่มที่คาดว่ากำไรจะโตแรง คือ กลุ่มอาหาร เพราะราคาเนื้องสัตว์จะดีขึ้น และจากต้นทุนอาหารสัตว์ที่ปรับตัวลดลง ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงเครื่องดื่ม กลุ่มขนส่ง กลุ่มพาณิชย์ ที่เห็นภาพของยอดขายเพิ่มขึ้นแรงมากจะทำให้อัตรากำไรเติบโตอย่างสดใส ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นมีการปรับตัวลงมาแรงและต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ทำให้อัตราเงินปันผลค่อนข้างสูง และมีหุ้นหลายบริษัทน่าสนใจ แต่หุ้นที่จะได้ประโยชน์มากที่สุด คือ CPF, TOP, KCE, CPALL, MINT, ADVANC
นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 เป็นช่วงจังหวะที่ควรสะสมหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว คือ AOT กับ ERW ที่ราคาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เพราะไตรมาสนี้นักท่องเที่ยวจะลดลงจากการที่เป็นฤดูฝน แต่เมื่อเข้าไตรมาส 4 นักท่องเที่ยวจะกลับมาพีคสุดของปี
3.ธีมย้ายฐานการผลิตจากจีน จะเห็นว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ผู้ประกอบการที่ตอนแรกจะเข้าไปลงทุนในจีน อาจจะต้องมีการเปลี่ยนใจเข้ามาลงทุนในไทยแทน และการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายน เห็นคะแนนของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พุ่งแรง ซึ่งในอดีตเคยบอกว่าจะเก็บภาษีนำเข้าจากจีน 60%
ถ้าเป็นแบบนี้จะดีกับไทย โดยเฉพาะในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เพราะต้องเข้ามาซื้อพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อใช้เป็นฐานในการผลิต จะทำให้ธุรกิจโรงไฟฟ้าในนิคมก็จะได้ประโยชน์ด้วย
ทั้งนี้ แนะนำหุ้น WHA, AMATA, WHAUP
4.ธีมลานิญา จะทำให้มีปริมาณฝนตกมาก หรือว่าอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมได้ในเดือนกันยายน เมื่อปริมาณน้ำมาก ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจะดี แนะนำหุ้น CKP,TVO
กลยุทธ์การให้น้ำหนักลงทุนรายกลุ่ม แนะนำ เพิ่มน้ำหนัก: หุ้นกลุ่มผู้รับเหมา, การเงิน (สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ) นิคมอุตสาหกรรม
คงน้ำหนัก : หุ้นกลุ่มอาหาร, พลังงาน, วัสดุ, บรรจุภัณฑ์, การดูแลสุขภาพ, ไอซีที, อิเล็กทรอนิกส์, ผู้บริโภค, ธนาคาร, สาธารณูปโภค, การท่องเที่ยว
ลดน้ำหนัก: กลุ่มเคมี, อสังหาริมทรัพย์ และยานยนต์
แยกพอร์ตเทรด-พอร์ตถือยาว
นายพิริยพล กล่าวว่า ในช่วงนี้ภาพใหญ่ คือ อัตราเงินเฟ้อของโลกกำลังชะลอตัว ทิศทางเศรษฐกิจโลกก็กำลังชะลอตัวลงเช่นกัน และอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง การลงทุนในหุ้น ไม่เหมาะในการถือลงทุนยาว แต่จะเป็นจังหวะของการลงทุนเพื่อซื้อมาและขายไป
นอกจากนี้ แนะนำให้ใช้กลยุทธ์ในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน โดยแบ่งพอร์ตออกเป็น 2 ส่วน คือพอร์ตที่ถือสั้นสำหรับไว้เก็งกำไร และพอร์ตหลัก ให้เน้นหุ้นปันผลสูง ราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน เพื่อถือลงทุนยาว คือ ADVANCE จะทำให้พอร์ตมีความเสถียรมากขึ้น และหุ้น CPALL ซึ่งปัจจุบันมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งมาก สามารถทนต่อความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจในอนาคต
ขณะที่สินทรัพย์ปลอดภัย คือ พันธบัตรรัฐบาล และ ตราสารหนี้ เป็นจุดที่ดีในการสะสม เพราะอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ซึ่งคาดว่า FED จะลดได้ 3 ครั้งในปีนี้ และไทยจะลด 1 ครั้ง รวมถึงเศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปถึงระดับไหนถ้าหนักมากๆ การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ทองคำ จะมีความปลอดภัยมากที่สุด
“เราควรจะมีการปรับพอร์ตลงทุนใหญ่ๆ 1 ครั้งต่อปี และในระหว่างปีก็มีการทบทวน ปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ไตรมาสละครั้ง และการมีสินทรัพย์การลงทุนที่หลากหลายจะทำให้ได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ”นายพิริยพล กล่าว
รายงานโดย วารุณี อินวันนา