HoonSmart.com>> “ เสี่ยปู่” แนะช้อปปิ้งหุ้นแถว 1,400 จุด แอบทยอยเก็บหุ้นหลังราคาลงมาอยู่ในจุดที่น่าสนใจ แม้หวั่นนโยบายขึ้นค่าแรงจะกระทบการลงทุน ขณะที่ บล.ลิเบอเรเตอร์ หั่นกำไรบจ.ปีนี้ EPS เหลือ 94-95 บาท จากเดิมกว่า 100 บาท หลังงบฯไตรมาส 1/66 พร้อมมองนโยบายขึ้นค่าแรงกระทบกำไรร้านอาหาร, กลุ่มส่งออกอาหาร และกลุ่มรับเหมาฯ
นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล “เสี่ยปู่” นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ดัชนีฯ แถว 1,400 กว่าจุด เป็นระดับที่น่าซื้อ โดยเชื่อมั่นว่า ดัชนีหุ้นไทยจะไม่ลงไปแถว 1,200 จุด หลังจากที่หุ้นหลายตัวปรับลงมาอยู่ในระดับที่ไม่แพง อย่างหุ้นในกลุ่มธนาคาร เวลานี้ Valuation ก็น่าสนใจ
สำหรับเสี่ยปู่ ตอนนี้ลงทุนในหุ้นประมาณ 80-90-% ของพอร์ตลงทุน โดยค่อย ๆ สะสมหุ้น หลังจากที่หุ้นแต่ละตัวลงมาอยู่ในระดับที่ไม่แพง ซึ่งจะเน้นลงทุนหุ้นที่เติบโตดี เทรด P/E ไม่สูงมาก อย่างหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ยังคงซื้อหุ้นต้วเดิมที่ลงทุนอยู่
แม้นักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังซื้อสะสมหุ้น บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ก่อนหน้านี้ราคาอยู่ 13 บาทกว่า ก็ขายออกไปบ้าง แต่ตอนนี้อยู่แค่ 10 บาทกว่า กลับเข้ามาซื้อสะสม ถือหุ้น ORI อยู่กว่า 5% และที่หุ้น ORI น่าสนใจ เพราะสร้างมูลค่าเพิ่มได้ทุกปี จากการนำบริษัทลูกทยอยเข้าตลาดปีละบริษัท ทำให้สร้างมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น
ส่วนหุ้น บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น (PRI) บริษัทลูกของ ORI ลงทุนกว่า 10 ล้านหุ้น มองเป็นหุ้นที่ไม่เสี่ยง กำไรเติบโตสูง และ ORI ยังมีบริษัทลูกอย่าง บริษัท วัน ออริจิ้น ที่คาดว่าจะเข้าตลาดในปลายปี้ ส่วน”แอลฟา อินดัสเทรียล”คาดว่าจะเข้าตลาดในปี 67 ซึ่งก็คาดว่าจะเข้าไปลงทุนหุ้นของบริษัทลูกของ ORI ด้วย
ส่วนกลุ่มธนาคาร Valuation น่าสนใจ แต่ไม่มีแจ็คพอต กำไรปีหนึ่งแค่ 10-15% เต็มที่แล้ว ทำให้มองว่า เหมาะที่จะเล่นเก็งกำไรเป็นรอบ ๆ
เสี่ยปู่ กล่าวว่า หุ้นที่ปรับตัวลงมา สะท้อนนโยบายของรัฐบาลใหม่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงงาน ส่วนการลดค่าไฟฟ้า ส่งผลกระทบต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า แต่ก็มีนโยบายหลายอย่างที่ดี พร้อมมองกลุ่มท่องเที่ยวยังดีอยู่ หลังจากที่ได้เปิดประเทศแล้ว โดยมองพวก Domestic play ยังน่าสนใจลงทุนอยู่
“ผมว่าค่าแรงงานปรับขึ้นสูง ทำให้การแข่งขันทางธุรกิจทำได้ยากขึ้น ดังนั้นน่าจะขึ้นแต่พอควร เพราะแน่นอนหากขึ้นค่าแรงมากไป ต้องมีการย้ายการลงทุนไปเวียดนาม เพราะค่าแรงที่เวียดนามแค่ 220 บาท หากเป็นเช่นนี้เศรษฐกิจก็จะได้รับผลกระทบ ทั้งยังกระทบการลงทุนไปด้วย โดยนโยบายที่ว่าจะขึ้นค่าแรง 450 บาท ในทันที ผมมองว่าทำไม่ได้ เพราะการลงทุนจะหายหมด เราก็ตาย ประเทศก็ตาย จึงควรขึ้นค่าแรงแบบค่อย ๆ ไป และค่าแรงขึ้น คุณภาพแรงงานก็ต้องดีขึ้นด้วย”
ด้านนายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ช่วงนี้นักลงทุนขายลดความเสี่ยง จากปัจจัยทางการเมืองที่มีความไม่แน่นอน อีกทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/66 ออกมา มีการปรับกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดใหม่ จากเดิมปีนี้ (2566) EPS อยู่ที่ 100 กว่าบาท ตอนนี้ลดลงมาอยู่ 94-95 บาท หายไป 5-6 บาทต่อหุ้น เป็นเหตุผลที่ทำให้ดัชนีฯปรับตัวลงมาแถว 1,500 จุดต้น ๆ คิดเป็น P/E 16 เท่า มองดัชนีฯในทางขาลงไปแถว 1,400 จุด ต้น ๆ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี
“ตอนนี้นักลงทุนมีความกังวลปัจจัยการเมือง ที่มีความไม่แน่นอน เพราะหากพรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลได้ ก็จะกังวลนโยบาย แต่ถ้าตั้งไม่ได้ก็มองพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลได้อยู่แล้ว เพียงแต่ถ้ามาแล้ว จะวิตกว่าจะเกิดความวุ่นวายหรือเปล่า ตลาดมองไปทางไหนก็มีความเสี่ยง จึงขายลดความเสี่ยงออกมาก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์…ซึ่งความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้ดัชนีฯ มีโอกาสลงไปทดสอบแถว 1,400 จุดต้น ๆ คิดเป็น P/E ราว 15 เท่า”
สำหรับเรื่องที่ตลาดมองไปไกลถึงการลงไปรอแถว 1,200 จุดนั้น นายวิจิตร กล่าวว่า “หากมองดัชนีฯ ลงไปแถว 1,200 จุด คิดเป็นเทรด P/E ราว 12 เท่า ดูใจร้ายไป เพราะในแง่ปัจจัยพื้นฐานก็ไม่ควรจะถึง แต่ถ้าหากมองทางเทคนิคก็เป็นอีกเรื่อง ส่วนที่ขณะนี้เทรดโซนแถว 1,500 จุด ก็ถือว่าไม่ถูก ไม่แพง คิดเป็น P/E 16 เท่า จาก EPS ปีนี้ที่ 94-95 บาท”
นายวิจิตร กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายเรื่องการเพิ่มค่าแรงงานเป็น 450 บาท ซึ่งก็จะเป็นต้นทุนกระทบต่อบริษัทที่ใช้คนมาก อย่างร้านอาหาร คาดว่ากำไรจะได้รับผลกระทบราว 14-17%, กลุ่มส่งออกอาหาร คาดกำไรจะได้รับผลกระทบราว 8-13% ส่วนกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดกำไรจะได้รับผลกระทบราว 7-9% แต่ร้านอาหารอาจได้รับการชดเชยจากการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น แต่กลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีความเสี่ยง ทั้งจากการลงทุนภาครัฐที่อาจแผ่วลง และงานประมูลใหม่อาจล่าช้าไปถึงปีหน้า ขณะที่ต้องแบกรับภาระค่าแรงงานที่สูงขึ้นโดยไม่ได้รับการชดเชยเหมือนอย่างร้านอาหาร